เว็บบอร์ดไม้ประดับออนไลน์
ตุลาคม 11, 2014, 08:26:12 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดไม้ประดับออนไลน์อยู่ระหว่างการทดลองใช้งานถ้ามีปัญหาถ้าพบเจอข้อผิดพลาดสมาชิกกรุณาแจ้ง webmaster ดว้ยครับ
 
  Home เว็บบอร์ด ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3
1  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / โรงงานผลิตทุกข์ เมื่อ: เมษายน 10, 2012, 09:11:24 PM


ตามหลักธรรมแล้ว ทุกข์ไม่ว่าทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ถ้าไม่มีสาเหตุทำให้เกิด แต่แสดงตัวขึ้นมาเฉยๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่น กายจะปรากฏทุกข์ขึ้นมา ต้องมีสาเหตุที่ทำให้เป็นส่วนบกพร่องของกายปรากฏขึ้นมา ทุกข์จำต้องปรากฏขึ้นมาตามจุดบกพร่องนั้นๆ แม้ทุกข์ทางใจก็จำต้องแสดงขึ้นมาตามจุดบกพร่องของใจ ที่เรียกว่าความเลินเล่อเผลอสติ นี่เป็นจุดบกพร่องของใจที่ยังทุกข์ให้เกิดขึ้นได้
      
      เมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้นตามสาเหตุดีชั่วเป็นหลักประกันอยู่แล้ว การตำหนิติชมในผล คือสุขทุกข์ จึงไม่มีผลดีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะเป็นเรื่องส่งเสริมสมุทัยให้ทำการสั่งสมทุกข์เพิ่มขึ้นอีกเท่านั้น
      
      ฉะนั้น เพื่อดับทุกข์ให้ถูกต้องตามมรรคปฏิปทา ผู้รับทราบทุกข์ที่เกิดขึ้นจึงควรจับทุกข์ขึ้นเป็นเป้าหมาย แล้วพิจารณาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์โดยรอบคอบด้วยปัญญา เช่น วันนี้เราไม่สบายใจ เพราะคิดถึงเรื่องอะไรจึงเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่สบาย ไม่สบายใจกับสิ่งใดหรือกับผู้ใด เกิดขึ้นที่ไหน ขณะนี้ความไม่สบายตั้งอยู่ที่ไหน ตั้งอยู่กับอะไร ความไม่สบายนี้เป็นใครหรือเป็นของใคร ท่านว่าความไม่สบายเป็นต้นนี้เป็นของจริงอันประเสริฐ มิได้เป็นใครและเป็นของใครทั้งนั้น
      
      การใช้ปัญญาตามขุดค้นเข้าไป ก็จะพบต้นเหตุอย่างชัดเจนว่า โรงงานผลิตทุกข์ คือ ใจที่ไม่มีสติไม่มีปัญญารักษาตน ปล่อยให้ความคิดปรุงอันเป็นฝ่ายสมุทัยสั่งสมทุกข์ขึ้นมา โดยไม่มีการต้านทานขัดขวาง ใจจึงได้รับความทุกข์อย่างไม่มีใครช่วยได้ ทุกข์มีสาเหตุเกิดขึ้นได้ดังที่กล่าวมานี้แล
      
      ฉะนั้น ผู้พิจารณาเพื่อดับทุกข์โดยชอบธรรม จึงควรใช้ปัญญาจดจ้องเข้าไปในจุดที่แสดงอาการกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา จุดนั้นเป็นที่เกิดขึ้นแห่งทุกข์และสมุทัยทั้งมวล และเป็นโรงงานใหญ่โตและแข็งแรงมั่นคงมาก ต้องทดสอบดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นจิตจะไปทำความสำคัญว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเราและเป็นของเราขึ้นมา ความสุขทุกข์ก็จะกลายเป็นเรา เป็นของเราขึ้นมาตามๆ กัน คำว่า “เรา” กับความคิดดี คิดชั่ว และสุขทุกข์ ก็จะเชื่อมเข้าเป็นอันเดียวกันจนหาทางแก้ไขไม่ได้
      
      ฉะนั้น จงคอยสังเกตด้วยสติปัญญา ตามลำดับที่ความคิดดีหรือชั่วเกิดขึ้นภายในใจ ทั้งขณะตั้งอยู่และดับไป พร้อมทั้งการทราบต้นเหตุที่เกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้น ไปในระยะเดียวกัน เช่น ความดีใจเสียใจ เป็นต้น เกิดขึ้น จงจับจุดนี้แล้วขุดค้นหาสาเหตุที่เกิดขึ้น เรื่องความสุขความทุกข์ที่เป็นผลซึ่งออกมาจากจุดเดียวกันก็จะดับไป แล้วเปลี่ยนสภาพขึ้นมาใหม่ ให้จิตตามรู้กันตามลำดับของเรื่องที่ยังไม่จบสิ้นลงโดยสิ้นเชิง ยังจะได้คติที่สำคัญๆ จากการพิจารณาในเวลานั้นด้วย
      
      วิธีดำเนินจิตต้องถือความสัมผัสและความกระเพื่อมของจิตเป็นเป้าหมายของการพิจารณา จิตจะแสดงตัวขึ้นมาอย่างไร เช่นแสดงเป็นความเสียใจและเศร้าหมองขึ้นมา อย่าตื่นเต้นตกใจไปตามอาการที่แสดงนั้นๆ จงพิจารณาให้รู้โดยทั่วถึง ตามหลักสติปัญญาของผู้ต้องการ ทราบต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งปวง ไม่ให้มีจุดบกพร่องต่อการพิจารณา ความเสียใจและเศร้าหมองเป็นสาเหตุมาจากสมุทัย ความดีใจและผ่องใสเป็นสาเหตุมาจากมรรค คือข้อปฏิบัติทั้งสองประเภทนี้ จงถือเป็นทางเดินของสติปัญญาต่อไป อย่าไปยึดเอาความเศร้าหมองและความผ่องใส จะกลายเป็นเราขึ้นมาในระยะที่ไปยึดเขา เรากับเขาจะแก้กันไม่ตก เพราะความผ่องใสเราก็เสียดายและรักสงวน ส่วนความเศร้าหมองเราก็เกลียดชัง ความเกลียดชังก็เป็นเรื่องของเรา แม้เราไม่ชอบความเศร้าหมอง แต่เรากลับชอบความเกลียดชัง จึงถือความเกลียด ชังขึ้นมาเป็นตัวโดยไม่รู้สึก กิเลสกับเราจึงมีโอกาสคละเคล้ากันได้อย่างนี้
      
      เรื่องมารยาของใจที่มีกิเลส มันแสดงอาการหลอกลวงเราได้ร้อยแปดพันประการ เพื่อการดำเนินไปด้วยความสะดวกและราบรื่น จงถือเอาเรื่องดี เรื่องชั่ว และความเศร้าหมองผ่องใส เป็นต้น เป็นทางเดินของสติปัญญา จิตจะแสดงอาการอย่างใดขึ้นมา จงทราบ และทำ ความเข้าใจกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาทันที อย่าไปทำความเข้า ใจเอาเองว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นสิ่งที่ควรไว้วางใจ และควรถือเป็นหลักยึดของใจ จะกลายเป็นความพลั้งเผลอและหลงยึดเอาสิ่งนั้น แล้วกลายเป็นสมมติจุดหนึ่งขึ้นมาให้เป็นเครื่องกดถ่วงใจโดยไม่รู้สึก เมื่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งถูกกับใจสลายตัวลงไป และสิ่งที่ไม่ชอบใจเข้ามากีดขวาง ใจก็จะแสดงความเสียใจขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องเสริมสมุทัย ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก
      
      ดังนั้นเพื่อความรอบคอบต่อทางดำเนินของตน จงทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านั้นด้วยดี ว่าเมื่อยังมีอารมณ์ดี ชั่ว และสุข ทุกข์ ปรากฏในวงปฏิบัติของจิต ก็แสดงว่าทางเดินของเรายังมีอยู่ ยังไม่ถึงที่สุดซึ่งควรจะหยุดการเดิน และจำต้องเดินตามสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาเฉพาะหน้าไม่ว่าดีว่าชั่ว และไม่ว่าจิตจะแสดงอาการใดๆ ออกมา ต้องตามรู้ตามเห็นด้วยการพิจารณา และถือจุดหรืออาการ นั้นๆ เป็นทางเดินของสติปัญญา โดยพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าได้นอนใจกับสิ่งใดๆ เมื่อสิ่งที่กล่าวมายังปรากฏอยู่กับ ใจมากน้อย ให้ถือว่าสิ่งที่ปรากฏนี้แล กำลังเป็นทางเดินของจิตและสติปัญญาอยู่เวลานี้ เรายังมีทางเดินต่อไปอีก ยังไม่สิ้นสุดทางเดินของเรา จนกว่าสติปัญญาจะรู้รอบคอบ และสิ่งทั้งหลายที่เคยปรากฏกับใจ ก็สลายตัวลงไปพร้อม ทั้งรากฐานของมันที่เป็นจุดของสมมติอันสำคัญ
      
      เมื่อทุกสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกของใจสลายตัวลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นแลการเดินทางของจิต มีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นเพื่อนสอง ย่อมยุติลงเพียงเท่านั้น นั่นเชื่อว่าหมดทางเดินจริงๆ การหมดทางเดินจากสมมติ ดี ชั่ว นั่นแล ท่านเรียกว่า วิมุตติ เราจะไปหาวิมุตติที่ไหนกัน นอจากจะทำลายสมมติออกจากใจหมดแล้ว ก็เป็นวิมุตติขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีที่ไหนเป็นวิมุตติตามความคาดหมายของใจ ซึ่งเป็นเจ้าอารมณ์
      
      คำว่า วิมุตติ กับนิพพาน นั่นเป็นไวพจน์ของกันและกัน คือใช้แทนกันได้ เช่นเดียวกับการกินกับการรับประทาน ซึ่งเป็นความหมายอันเดียวกัน พูดเพียงคำใดคำหนึ่ง โลกก็รู้ทั่วถึงกัน จิตที่เป็นวิมุตติของท่านผู้หลุดพ้นเพราะกำลังความเพียร จะย้อนกลับเห็นคุณค่าของความเพียรที่พาตะเกียกตะกายและล้มลุกคลุกคลานจนถึงแดน เกษมในปัจจุบันอย่างเต็มที่ และเห็นโทษแห่งความเกียจคร้าน และความโง่เขลา ที่พาให้ซบเซาเหงาหงอย เพราะความบีบบังคับของกิเลสบาปธรรมซึ่งเป็นเจ้าครองใจ ไม่มีเวลาปลดแอกพอให้อยู่สบายสักเวลาหนึ่งเช่นเดียวกัน
      
      นี่แล การดำเนินตามแบบ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสรณะ ย่อมมีจุดจบที่เป็นที่หวัง ดังที่อธิบายมา


โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
2  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / ผลกรรมของนักพนัน เมื่อ: เมษายน 02, 2012, 12:47:04 PM


การพนันเป็นอบายมุขที่จะนำไปสู่ความเสื่อมของชีวิต แต่คนจำนวนไม่น้อยที่ยังหลงใหลหมกมุ่นอยู่กับมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา นั่นก็เป็นเพราะความโลภที่มากเกินเหตุ ไม่อยากลงแรงกระทำอะไรมาก ชอบลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมาก แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงก็มากตามมาด้วย

      คนที่เล่นการพนันส่วนใหญ่จึงมักจะเสียมากกว่าได้ ซ้ำร้ายบางคนต้องกู้หนี้ยืมสิน บางคนต้องกลายเป็นคนลักขโมย เป็นคนขี้โกหกหลอกลวงตามมา ในที่สุดชีวิตก็จมอยู่กับวังวนแห่งความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรณีต่อไปนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เห็นอำนาจของกฎแห่งกรรมที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา เรื่องมีอยู่ว่า
      
      มีชายคนหนึ่งชื่อ “สิทธิกร” เป็นคนกรุงเทพฯ ฐานะครอบครัวนับว่าดีพอสมควร มีกินมีใช้ไม่เคยอดอยาก แต่ก็เป็นธรรมดาของคนทั่วไป ที่มักจะไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นอยู่ จึงดิ้นรนขวานขวายหาสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิทธิกรก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้
      
      การอยากร่ำรวยเพิ่มมากขึ้น เป็นเรื่องปกติของปุถุชนคนธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า วิธีการแสวงหาให้ได้สิ่งที่ตนต้องการนั้น มันควรอยู่แต่ในทางที่ถูกต้องดีงามเท่านั้น หากแสวงหาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องไม่ดีไม่งามแทน ที่จะได้ก็อาจจะกลับเสียมากกว่า หรือได้มาแล้ว ก็ต้องทุกข์ใจในภายหลัง
      
      สิทธิกรมีเงินอยู่หลายแสนบาท แต่ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ของตัวเอง เขาต้องการจะมีเงินมากขึ้น จึงคิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยกว่าเดิม เขาได้ไปปรึกษากับหลายคนว่าจะลงทุนอะไรดี จึงจะได้กำไรมากที่สุด แต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงทุนอะไร
      
      อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนของสิทธิกร ชื่อ “สมหมาย” บังเอิญได้มาเจอกัน สมหมายนั้นเป็นนักพนันตัวยงอยู่แล้ว เมื่อได้พบเจอกับสิทธิกร จึงชักชวนให้สิทธิกรไปเล่นการพนันกับเขา โดยอ้างถึงความเป็นไปได้ที่จะได้กำไรมากที่สุด เพราะเชื่อมั่นว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญใน การพนัน และการพนันนั้นจะสามารถทำให้เงินที่มีอยู่ไม่กี่แสนบาทนั้น กลายเป็นเงินหลายล้านขึ้นมาในทันที
      
      พอสิทธิกรได้ยินเช่นนั้น ดวงตาจึงลุกโพลงขึ้นมาทันที ไฟแห่งความโลภที่มีอยู่ในจิตใจได้ลุกโหมขึ้นมาอย่างหนัก เมื่อความโลภมาบดบังดวงตา ปัญญาก็ย่อมไม่เกิดขึ้น สิทธิกรไม่เคยคิดถึงผลเสียที่จะตามมาแต่ประการใดเลย คิดเพียงอย่างเดียวว่า ในเวลาไม่นานนี้ตนเองจะต้องร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน
      
      สมหมายได้พาสิทธิกรไปที่บ่อนการพนัน และแนะนำวิธีการเล่นต่างๆ ตอนแรกๆเขาก็ไม่กล้าเล่นอะไรมาก แค่ลองดูนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง ซึ่งก็ได้บ้างเสียบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อเล่นไปเล่นมาสิทธิกรก็เริ่มจะมีความมั่นใจมากขึ้น และใจใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
      
      สิทธิกรเล่นการพนันอย่างนั้นต่อเนื่องกันเรื่อยมา จนกระทั่งติดและกลายเป็นนิสัย วันไหนไม่ได้เข้าบ่อนพนัน ก็จะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที นิสัยนักพนันนี้เป็นกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เป็นการสั่งสมอุปนิสัยที่ไม่ดีให้กับตนเอง แต่เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ดีอย่างไร เพราะมันทำให้เขาได้เงินมาอย่างง่ายดาย
      
      พอสิทธิกรเริ่มหน้ามืดตามัวอยู่กับการพนันแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ใจกล้าได้ทั้งนั้น ไม่นานเขาก็เสียการพนันจนหมดตัว จึงไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนมาอีกสองแสน เพื่อจะกลับมาเอาทุนคืนให้ได้ แต่ก็เหมือนบาปซ้ำกรรมซัด ที่ยิ่งอยาก จะได้มากก็ยิ่งเสียมาก พอเอาทุนคืนไม่ได้ ก็ต้องดิ้นรนแสวงหามาให้ได้ เขาจึงเอาโฉนดบ้านไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาเล่นการพนัน แต่สุดท้ายเขาก็หมดตัว ไม่เหลืออะไร อยู่ในมือแม้แต่บาทเดียว
      
      เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนั้น ความเครียดก็เกิดขึ้นทันที เมื่อกลับถึงบ้านก็ทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยา ซึ่งในที่สุดทั้งสองก็ต้องแยกทางกัน และบ้านก็ถูกยึดไป สิทธิกรจึงกลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่ จะไปพึ่งพาเพื่อนคนไหนก็ไม่ได้ ชีวิตของเขาในช่วงนี้จึงดำมืด ไม่เห็นทางออก ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย หนี้เพื่อนก็ยังใช้ไม่หมด ข้าวก็ไม่มีจะกิน ครอบครัวที่เคยอยู่กันอย่างอบอุ่น ก็ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
      
      เมื่อความวุ่นวายเข้ามาในชีวิต จิตใจก็ไม่สงบ การแก้ปัญหาจึงเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น เขาคิดวางแผนที่จะไปปล้นร้านทองหลายครั้งแต่ยังไม่กล้า ได้แต่พยายามคิดหาวิธีทางต่างๆ ที่จะให้ได้เงินมาแบบง่ายดาย แต่เมื่อเขาไม่เคยสั่งสมกรรมดีไว้ ความคิดชั่วต่างๆก็เข้ามาในสมองทันที นั่นก็คือเขาต้องขโมยเงิน เพราะไม่มีทางอื่นที่จะได้เงินง่ายและรวดเร็วอย่างนี้อีกแล้ว
      
      สิทธิกรวางแผนที่จะขโมยเงินในบ้านหลังหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะร่ำรวย เมื่อสบโอกาสเหมาะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ เขาจึงได้แอบลงมืองัดบ้านและขโมยข้าวของเงินทองมากมาย แต่เหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะขณะที่เขากำลังย่องออกมานั้น บังเอิญเจ้าของบ้านกลับมาเห็นพอดี จึงคว้าไม้ไล่ตี พร้อมกับตะโกนให้คนช่วยจับขโมยด้วย
      
      สิทธิกรถูกรุมจับและถูกเจ้าของบ้านทุบตีแบบไม่ยั้ง เพราะความโกรธที่ถูกขโมยทรัพย์สิน สิทธิกรได้แต่ร้องขอชีวิตและใช้แขนรับท่อนไม้ที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนกระทั่งแขนของเขาหัก เจ้าของบ้านตีจนหมดแรงจึงเลิก และจับเขาส่งตำรวจ
      
      สิทธิกรได้พบกับความทุกข์อีกครั้งเมื่อต้องตกอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บ แขนหัก และติดคุก แต่ก็นับว่าโชคดีที่ยังไม่ตาย ในระหว่างที่อยู่ในคุกนั้นเขามีโอกาสได้ฟังธรรม จากอนุสาสนาจารย์บ้าง จากพระที่เข้าไปแสดงธรรมในคุกบ้าง ทำให้เขาได้สติกลับคืนมา พร้อมกับระลึกถึงกรรม ต่างๆ ที่เขาได้เคยกระทำไว้ ซึ่งทำให้เขารู้ว่า สิ่งที่เขาได้รับทั้งหมดนั้น ล้วนแต่เป็นกรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเขาเองทั้งสิ้น หากเขาไม่โลภจนเกินเหตุ ชีวิตก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
      
      ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มีมากจนเกินไปมักจะบดบังปัญญาของเรา ไม่ให้มองเห็นความผิดชอบชั่วดีทั้งหลาย หากรู้จักวิธีที่จะควบคุมกิเลสเหล่านั้นให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ก็จะไม่ทำให้ชีวิตของเราเดือดร้อน หรือว่าหากจะให้ดีก็ต้องพยายามกำจัดมันให้น้อยลง จนกระทั่งไม่เหลืออยู่เลย แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว การจะกระทำได้อย่างนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เพียงควบคุมไม่ให้มันมากจนเกินไปก็นับว่าเป็นประโยชน์แก่ชีวิตมากแล้ว

ยิ้ม
3  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / สันโดษ มักน้อย ก็รวยได้ เมื่อ: มีนาคม 27, 2012, 07:45:54 AM


มีบางท่านมาถามว่า ได้พบในหนังสือบางฉบับ แสดงเป็นเชิงไม่อยากให้พระเทศน์สอนประชาชนเกี่ยวกับความสันโดษและความมักน้อย เพราะสมัยนี้เป็นสมัยที่กำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจของบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้า การสอนธรรมทั้งสองข้อนี้ จะเป็นการขัดแย้ง หรือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบ้านเมือง ท่านจะเห็นว่าเป็นอย่างไร?
      
      ในข้อนี้ สำคัญอยู่กับผู้ที่ตีความหมายในธรรม แล้วนำมาชี้แจงให้คนฟังคนอ่าน ถ้าตีความหมายว่า ธรรมทั้งสองบทนี้สอนให้เกียจคร้านอ่อนแอ สอนให้คนกินน้อยใช้น้อย ที่อยู่อาศัยก็ทำให้คับแคบ ไม่เพียงพอกับการหลับนอน เครื่องใช้สอยทุกอย่างก็ทำให้น้อย ไม่พอกินพอยู่พออาศัย ทำอะไรก็ให้ทำแบบอดๆอยากๆ แม้รับประทานก็ไม่ให้อิ่มและเพียงพอกับธาตุขันธ์ที่ต้องการ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็กลัวคนจะลำบากและอดตายกันหมดทั้งประเทศ ก็จำต้องบอกให้ทราบ เพราะปกติของคนก็ขี้เกียจอยู่ด้วย การบอกเพื่อให้คนมีความขยันหมั่นเพียร จึงไม่เป็นทางผิด
      
      ความจริง ความมักน้อยกับความสันโดษ เป็นธรรมคู่เคียงของโลกตลอดมา และเป็นธรรมจำเป็นทั้งนักบวชและคฤหัสถ์ ที่จะนำไปใช้ให้เหมาะกับเพศและฐานะของตนเท่าที่จะเห็นควร เพราะความหมายของธรรมก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า จงเป็นผู้มักน้อยในสิ่งที่ควรมักน้อย เช่น คู่สามีภรรยา มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นเป็นที่เหมาะสมและงามยิ่งแล้ว ไม่พะรุงพะรัง หามบาปหามกรรม เพราะมีเมียมากเรื่องมาก เวลาตายไปคนข้างหลังจะไม่ยุ่ง ยากในการแบ่งปันมรดก ยกให้เมียโทนคนเดียวเก็บไว้ เลี้ยงลูก เขาจะได้เห็นบุญคุณของพ่อที่ล่วงลับไป ทั้งต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นคู่ครองของกันและกัน ไม่ประพฤตินอก ใจซึ่งผิดจากหลักความมักน้อย ต่างก็ไว้วางใจกันได้ในทาง อารมณ์ นี้คือบ่อแห่งความสุขในครอบครัว
      
      ความสันโดษคือความพอดี เช่นน้ำที่เต็มแก้วแล้ว จัดว่าพอดีแล้ว จะเทน้ำลงเพิ่มอีกก็ผิดความพอดี ไม่เป็นประโยชน์อะไร คนที่ตั้งอยู่ในความพอดี คือคนที่รู้จักเราและรู้จักท่าน รู้จักของเราและรู้จักของท่าน เห็นใจเราและเห็นใจท่าน ซึ่งมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน จะเป็นคนมีหรือคนจน คนโง่หรือคนฉลาด ก็รู้จักฐานะของกันและกัน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เหยียดหยาม ไม่กล้ำกราย ไม่ล่วงล้ำ ไม่เห็นแก่ได้
      
      สมบัติของท่านมีมากหรือมีน้อย ไม่ล่วงล้ำเขตแดนโดยเห็นว่าพอเอาได้ เห็นว่าเขามีอำนาจน้อยพอจะเคี้ยวกลืนได้ เห็นว่าเขาโง่พอตบตากินได้ เห็นว่าเขามีพวกน้อยพอข่มขู่เอาได้ เห็นว่าเขาเผลอพอหยิบฉวยเอาได้ เห็นว่าเขานอนหลับพอขโมยเอาได้ เห็นว่าเขามีช่องโหว่พอคดโกงได้ เห็นว่าเขาไม่มีอาวุธพอปล้นจี้เอาได้ เห็นว่ามีแต่ผู้หญิงเฝ้ารักษาสมบัติพอขู่เข็ญเอาได้
      
      ผู้มีธรรมสันโดษในใจแล้วทำไม่ลง ปลงจิตไม่ตกเพื่อจะทำ เพราะความเห็นใจกันและสงสาร เนื่องจากคิดดูใจเรากับใจท่านผู้อื่นแล้ว มีความรู้สึกอันเดียวกัน เรามีสมบัติน้อยมาก เรารักและสงวนของเรา ไม่อยากให้ใครมาล่วงล้ำ มีความยินดีที่จะแสวงหาสมบัติด้วยความชอบ ธรรม หาได้มากเท่าไหร่ก็เป็นที่เย็นใจ เพราะการแสวงหาสมบัติด้วยความชอบธรรม จะได้มามากมายเท่าไหร่ ไม่เป็นการขัดแย้งต่อธรรมสันโดษ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้คนมีความขยันหมั่นเพียรในทางที่ชอบ แต่มิได้สอนให้ขยันในการเบียดเบียนกันและทำลายกัน และถือเอาสมบัติเขามาเป็นของตน
      
      ดังนั้น ความมักน้อยและสันโดษ จึงมิได้เป็นข้าศึกแก่ การงานของโลกทุกประเภท ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเจริญ
      
      พระองค์ยังกลับสรรเสริญคนมีความขยันและอดทนในการงานที่ชอบอีกด้วย สมกับปฏิปทาที่สอนไว้ทุกบททุกบาท เพื่อการรื้อฟื้นโลกและธรรมให้เจริญด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่มีปฏิปทาขี้เกียจแฝงอยู่ในวงธรรมของพระพุทธเจ้าเลย
      
      ธรรมสันโดษ คือ ความยินดีในสมบัติที่มีอยู่ของตน จะมีน้อยมากเท่าไหร่ก็ให้ยินดีในของที่ตนมีอยู่ ถ้าเรามีความขยันและฉลาดสามารถพอ จะทำการเพาะปลูกหรือจะปลูกสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆขึ้นทั่วประเทศ ก็จะเป็นที่นิยมยินดีของคนจนๆเป็นอันมาก เผื่อเขาจะได้อาศัยพึ่งร่มเงาแห่งบารมีของเรา ทั้งจะเป็นที่เบาใจของรัฐบาล ซึ่งกำลังเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเรา กลัวจะไม่มีที่อยู่อาศัย เครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอกับความเป็นอยู่ในครอบครัว ทั้งจะเป็นที่เทิดทูนศาสนธรรมในบทว่า
      
      “อุฏฐานสมฺปทา” ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ว่าเป็นประโยชน์แก่โลกจริง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่เป็นโมฆะอยู่เปล่าๆ โดยไม่มีผู้สนใจและปฏิบัติตามจนเกิดผล
      
      ธรรมข้อที่สองว่า “อารกฺขสมฺปทา” ถึงพร้อมด้วยการ เก็บรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความชอบธรรม ไม่จับจ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่มีขอบเขต การจับจ่ายควรถือความจำเป็น เป็นประมาณ ทรัพย์จะมีสถานที่จอดแวะบ้าง ไม่ไหลผ่านมือไปเสียทีเดียว ธรรมคือ มตฺตญญุตา ความรู้จักประมาณในการเก็บรักษา และการจับจ่ายที่เป็นฝาปิดและเปิดทรัพย์ในคราวจำเป็นที่ควรปิดและควรเปิด แม้แต่บ้านเรือนก็ยังมีประตูเปิดปิด ที่เก็บทรัพย์ ก็ควรจะมีบ้าง ถึงคราวจำเป็น เช่น เจ็บไข้ เป็นต้น ทรัพย์ก็จะมีทางช่วยเปลื้องทุกข์ได้เท่าที่ควร
      
      ข้อที่สาม “สมชีวิตา” การเลี้ยงและรักษาตัวให้เป็นไปพอประมาณ อย่าให้ถึงกับฟุ่มเฟือยหรือฝืดเคืองจนเกินไป ทั้งๆที่ทรัพย์เครื่องแก้ขัดจนมีอยู่ แต่อย่าให้กลายไปว่า ทรัพย์เป็นเครื่องเสริมคนให้เสีย และเสริมคนให้ขี้เหนียวจนเข้ากับใครไม่ได้ เหม็นฟุ้งไปหมดด้วยกลิ่นของความตระหนี่ถี่เหนียว และส่งกลิ่นฟุ้งไปไกลด้วย ทั้งตามลมและทวนลมจนหาที่หลบซ่อนจมูกไม่ได้เลย
      
      ข้อที่สี่ “กัลยาณมิตตตา” ความมีมิตรสหายที่ดีงาม การคบมิตรเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกเฟ้นด้วยดี แม้อาหารในถ้วยในจานซึ่งเป็นสิ่งสำเร็จรูปมาเรียบร้อยแล้ว ผู้รับประทานยังต้องเลือกเฟ้นทุกครั้ง เพราะในอาหารย่อมมีทั้งกระดูกทั้งก้าง ซึ่งเป็นภัยต่อร่างกายปะปนอยู่ และอาหารบางชนิดยังแสลงต่อโรค จำต้องสังเกตด้วยดี ไม่เช่นนั้นอาจเป็นภัยต่อร่างกาย
      
      บาปมิตรยิ่งเป็นภัยอย่างร้ายแรง ถ้าคบด้วยความสะเพร่า ไม่ใช้ความสังเกตและเลือกเฟ้น ถ้าเป็นกัลยาณมิตร ก็เป็นคุณอย่างมากมาย พึ่งได้ทั้งคราวเป็นคราวตาย ไม่ยอม ทอดทิ้ง สุขก็สุขด้วย ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย เมื่อมีกิจจำเป็น ก็ช่วยเหลือได้เต็มไม้เต็มมือ ไม่กลัวความสิ้นเปลืองใดๆทั้งสิ้น ขอแต่เพื่อนผู้จำเป็นหรือจนมุม รอดพ้นออกมาได้ จึงจะเป็นที่พอใจ นี่คือเพื่อนผู้พึ่งเป็นพึ่งตายจริงๆ ควรคบตลอดกาล เพื่อนที่ดีเราชอบคบ แต่เราไม่ดีเพื่อนก็รังเกียจเหมือนกัน ต้องมองดูตัวบ้าง เพื่อจะได้เป็นเพื่อนที่ดีของเขา เขาพลีชีพเพื่อเราฉัน ใด เราต้องพลีชีพเพื่อเขาฉันนั้น

โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
4  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / ความเป็นมนุษย์ เป็นลาภอันสูงสุดในช เมื่อ: มีนาคม 19, 2012, 09:59:20 AM


สิ่งที่แก้ตัวไม่ได้ในปัจจุบันได้แก่การเกิด คือการเกิดมาแล้วจะเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์ย่อมแก้ไขไม่ได้ ในชาติหนึ่งๆ เหมือนสอบ ไล่ชั้นนั้นๆ เมื่อสอบตกในขณะนั้นแล้ว จะขอสอบแก้ตัวใหม่ย่อมไม่ได้ ต้องเรียนต่อไปอีกจนมีภูมิความรู้ควรจะสอบและโอกาสอำนวยแล้ว จึงจะสอบได้อีก ถ้าสอบได้ก็เลื่อนชั้นขึ้นไป
      
      เราเกิดมาเป็นมนุษย์และสัตว์ จะถูกหรือผิดก็เกิดมาแล้ว เป็นสัตว์ประเภทใดก็เป็นเต็มที่ เป็นคนชั้นไหนก็เป็นคนเต็มที่ ถ้าขาดตกบกพร่อง อวัยวะส่วนใดขาดเต็มที่ จะแก้ไขรูปร่างและส่วนบกพร่องของอวัยวะให้สมบูรณ์ก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะก็เป็นเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ถ้าส่วนใดบกพร่อง ย่อมแก้ไขลำบาก ไม่เหมือนเครื่องอะไหล่ ของเครื่องจักรเครื่องยนต์ ซึ่งมีขนาดพอหาซื้อได้ ในห้างร้านต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มีไว้เป็นสินค้าทั่วๆไป ไม่เหมือนอวัยวะ ของคนและสัตว์ซึ่งเป็นอวัยวะที่จำเป็นและเป็นสิ่งจำเพาะ แม้จะมีสำรองอยู่บ้างก็เป็นสิ่งปลอมแปลง ไม่เหมือนธรรมชาติดั้งเดิมแท้ และใช้ก็ไม่ดีและมั่นคงเหมือนอวัยวะเดิม
      
      เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้ประมาทในคุณค่าแห่งการเกิดของตน กำเนิดที่ต่ำเช่นสัตว์มีมากเหลือประมาณ ไปที่ไหนเจอแต่สัตว์ ในน้ำก็มี บนบกก็มี บนต้นไม้ ชายเขา ใต้ดิน บนอากาศ มีเกลื่อนไปหมด เพราะกำเนิดต่ำ สัตว์เกิดได้ง่าย แต่มนุษย์เราเกิดยากกว่าสัตว์ ฉะนั้น ความเป็นมนุษย์จึงเป็นลาภอันสูงสุดในชาตินี้
      
      คำว่า “มนุษย์สมบัติ” จึงหมายเอาอวัยวะที่สมบูรณ์ประจำชาติของมนุษย์ไม่บกพร่องส่วนต่างๆ ของร่างกายและวิกลจริต ส่วนสมบัติตามมาทีหลังนั้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากมนุษย์สมบัติอันแท้จริง ไม่เป็นของจำเป็นยิ่งกว่าความมีอวัยวะอันสมบูรณ์ เป็นต้น อวัยวะสมบัตินี้เป็นสมบัติก้นถุงแท้ คือเป็นทุนที่จะให้บำเพ็ญประโยชน์ในทางโลกและทางธรรมได้ตามความปรารถนา ทั้งเป็นเครื่องมืออันดีเยี่ยมในการสร้างโลกและสร้างธรรม เพื่อสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ เพราะเป็นศูนย์กลางแห่งภพชาติทั้งมวล สามารถสร้างตัวให้ดีเด่นได้ทั้งทางโลก ทางธรรม ผู้ทำตัวให้ต่ำลงไป จนเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจากการดัดแปลงตัวเองไปในทางผิด โดยมีความคิดผิดเป็นเจ้าเรือน ผู้จะทำตัวให้ดีและเด่นขึ้นเป็นลำดับ จำต้องดัดแปลงตัวเองให้ถูกทาง ผลย่อมเป็นความสุขความเจริญคืบหน้าตามลำดับแห่งเหตุที่ทำไว้ดีแล้ว ไม่ว่าวันนี้วันหน้า ชาตินี้ชาติหน้า ความสุขความเจริญต้องอาศัยผลที่เราทำจากคนคนเดียวนี้แล เป็นเครื่องตามสนองในภพนั้นๆ
      
      ด้วยเหตุนี้ ความเป็นมนุษย์จึงอยู่ในความนิยมของโลก ว่าเป็นภพชาติที่สูงและเป็นที่รวมแห่งความดีทั้งปวงไว้ด้วย เช่น พระศาสนา เครื่องหล่อหลอมมนุษย์ให้เป็นคนดีก็รวมอยู่ที่นี่ แม้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่เยี่ยมด้วยเหตุผลก็มีอยู่กับมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ในแดนแห่งมนุษย์เรานี้ พระสาวกเกิดเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว จึงสามารถปฏิบัติธรรมจนได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ความเป็นมนุษย์จึงเป็นผู้มีภาชนะอันดีสำหรับรับรอง ทั้งกองสมบัติเงินทองของมีค่าในโลก ทั้งโลกุตรภูมิสมบัติ จึงควรภาคภูมิใจในบุญวาสนาของตนที่พบพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ทั้งเหตุทั้งผล
      
      การกล่าวทั้งนี้มิได้ตำหนิศาสนาใดๆ ว่าไม่ดี เพราะศาสนาใดก็ดีด้วยกัน เนื่องจากไม่ได้สอนคนให้ชั่ว แต่ความดีนั้นมีสูงต่ำต่างกัน คุณภาพของศาสนาจึงต่างกัน พระพุทธศาสนานี้สามารถสอนคนให้เป็นคนดีเยี่ยมได้ ทั้งความประพฤติและความรู้ความเห็นภายในใจ จนกลายเป็นใจวิเศษและอัศจรรย์เหนือใจสามัญธรรมดา เพราะการอบรมจากธรรมของจริงอย่างประเสริฐ คือพระพุทธศาสนา
      
      ฉะนั้น จึงควรเห็นคุณค่าในตัวเราและชีวิตจิตใจซึ่งครองตัวอยู่ขณะนี้ พยายามอบรมดัดแปลงวิถีทางเดินของชีวิตและจิตใจให้เป็นไปด้วยความสม่ำเสมอและราบรื่น ทั้งทางโลกและทางธรรม จะมีความสุขกายสุขใจ อยู่ในโลกนี้ก็เห็นประจักษ์ใจ ถ้ามีธรรมเครื่องดัดแปลงให้ถูกทางจะไปโลกหน้าก็คือใจดวงกำลังดัดแปลงอยู่ ณ บัด นี้ จะเป็นผู้พาไป ไม่มีสิ่งใดจะไปโลกหน้าได้ นอกจากจิตดวงเดียวซึ่งเป็นของละเอียดยิ่งนี้เท่านั้น
      
      เราทุกท่านต่างก็เป็นนายช่างผู้ฝึกฝนอบรมตนอย่างไรจะเป็นที่มั่นใจ โปรดกระทำลงไปจนสุดความสามารถในขณะมีชีวิตอยู่ ถ้าชีวิตหาไม่แล้วจะสุดวิสัย เพราะร่างกายแตกสลาย ต้องหมดทางเดินทันทีที่ชีวิตสิ้นสุดลง การบำเพ็ญความดีทุกประเภทเป็นต้นว่าเคยบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาก็ทำต่อไปอีกไม่ได้ ทำให้ขาดไปเสียทุกอย่าง
      
      เราจึงไม่ควรเห็นสิ่งใดว่าเป็นของมีคุณค่ายิ่งกว่าใจ ซึ่งกำลังรับผิดชอบในสมบัติทุกสิ่งอยู่เวลานี้ แม้เราจะเสาะแสวงหาสิ่งใดมาเพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจให้มีความสุขเท่าที่ควรจะเป็นได้ แต่เราอย่าลืมตัวถึงกับได้ผิดพลาดไปกับสิ่งนั้นๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น เพราะอำนาจความอยากเป็นเจ้าของเรือนใจ ถ้าได้รับการอบรมอยู่เสมอ อย่างไรก็ไม่ตกต่ำและถอยหลังมาสู่ความทุกข์และความต่ำทรามต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนา จะก้าวไปทีละเล็กละน้อย และก้าวไปเสมอจนถึงจุดประสงค์จนได้
      
      ผู้มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน คือคุณสมบัติของใจ ท่านเจริญรุ่งเรืองได้เพราะการฝึกฝนดัดแปลง อย่าเข้าใจว่าเป็นไปจากเหตุอื่นใดทั้งสิ้น เพราะกายวาจาใจเป็นสิ่งอบรมดัดแปลงได้ด้วยกัน ไม่เช่นนั้น จะหาคนดีคนฉลาดไม่ได้ในโลกมนุษย์เรา และจะไม่ผิดอะไรกับสัตว์ที่มิได้ฝึกหัดดัดแปลงเลย สิ่งที่จะทำให้คนดีคนชั่วได้จึงขึ้นอยู่กับการฝึกหัดดัดแปลงตัวเอง ตามใจชอบ ผลก็กลายเป็นคนดีคนชั่ว และสุขทุกข์ขึ้นมาเป็นเงาตามตัว
      
      ฉะนั้น การไม่ปล่อยตัว คือให้อยู่ในกรอบของการสังเกตสอดรู้ของตัวเสมอ นั่นแลเป็นทางเจริญก้าวหน้า ผู้ชอบความเจริญก้าวหน้าจงเป็นผู้สงวนตน
      
      อนึ่ง ธรรมเครื่องขัดเกลามนุษย์และสัตว์ให้เป็นคนดีและสัตว์ดีตามฐานะของตนนั้น มีอยู่กับทุกคน ไม่ว่านักบวชและฆราวาสหญิงชาย ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความดีความชั่วขึ้นอยู่กับตัวผู้ชอบทำ ทำที่ไหนก็ได้ ไม่นิยมว่าในบ้านนอกบ้าน ในวัดนอกวัด ในน้ำ บนบก เพราะต้นเหตุความดีและชั่ว มันอยู่กับตัวของผู้ทำ ไม่ได้อยู่ที่อื่นใดทั้งนั้น

โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)
5  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / กฎแห่งกรรม : แทงปลาจึงถูกเหล็กแทง เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 06:09:27 PM


กรรมเป็นของเฉพาะตน ผู้ใดทำกรรมไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้นตามเหตุปัจจัยที่ตนเองเป็นผู้กระทำ ผู้ฉลาดจึงรู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่ดีที่จะช่วยให้ตนเองประสบแต่ความสุขความเจริญ ส่วนผู้ที่มืดบอด ย่อมหลงทำกรรมชั่วต่างๆ มากมาย ในที่สุดก็ย่อมพบกับความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อไปนี้ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งของคนที่เคยมืดบอดจนทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด
      
      ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายชื่อว่า “แสง” เขาเป็นลูกคนเดียว จึงได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากครอบครัว พ่อพยายามถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ที่ตนมีอยู่ให้แก่ลูกอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจักสาน ทำไร่ ไถนา รวมไปถึงการจับปลาล่าสัตว์ต่างๆ ด้วย ซึ่งเป็นอาชีพที่ตัวเองถนัด
      
      พ่อของแสงไม่เคยคิดหรอกว่า สิ่งที่เขาถ่ายทอดให้แก่ลูกนั้น บางอย่างเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ แต่บางอย่างมันจะกลายเป็นพิษเป็นภัยต่อลูกชายของตัวเอง
      
      ความจริงการทำกรรมต่างๆ นั้น อาจจะให้ผลไม่เหมือนกัน คือ บางคนทำแล้วให้ผลเร็ว บางคนทำแล้วให้ผลช้า นั่นก็เพราะกรรมเก่าที่แต่ละคนทำไว้ไม่เหมือนกัน บางคนที่ทำกรรมดีไว้มาก หากในปัจจุบันทำกรรมชั่ว แต่ว่ายังไม่เป็นกรรมชั่วที่หนักมาก ก็อาจจะยังไม่ได้รับผลของกรรมชั่วในปัจจุบันก็เป็นได้ แต่สำหรับบางคนที่ทำกรรมดีมาน้อย กรรมชั่วที่ทำก็จะให้ผลเร็วมากขึ้น เป็นต้น
      
      ในกรณีพ่อของแสง และตัวของแสงก็เช่นเดียวกัน พ่อก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาหลายปี แต่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำมากนัก อาจเป็นเพราะเขาเคยทำกรรมดีไว้มาก กรรมชั่วจึงยังตามมาสนองไม่ทันนั่นเอง แต่หากวันหนึ่งวันใด ความดีลดน้อยลง กรรมชั่วย่อมตามสนองอย่างแน่นอน
      
      พ่อของแสงได้พยายามถ่ายทอดวิชาการจับสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ ให้กับลูกชาย กระทั่ง 2-3 ปีผ่านไป แสงก็ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับสัตว์ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นปลา หนู สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กทั้งหลาย
      
      คืนวันหนึ่งในช่วงฤดูฝน เกิดฝนตกหนักมาก เวลาเช่นนี้หากเป็นคนในเมืองก็คงนอนหลับพักผ่อนที่บ้านอย่างสบายใจ แต่สำหรับชาว ไร่ชาวนาแล้ว ฝนตกเป็นช่วงเวลาที่ต้องออกหากิน จับปลา จับกบ ฯลฯ และอาวุธสำคัญที่ต้องนำติดตัวไปก็คือ “ฉมวก” ซึ่งเป็นเครื่องมือแทงปลา มีด้ามยาว ที่ปลายข้างหนึ่งมีเหล็กแหลมๆอันเดียว หรือเป็นเหล็กแหลมสามง่าม หรือห้าง่าม ไว้สำหรับพุ่งเสียบปลา
      
      แสงสามารถใช้ฉมวกได้อย่างชำนาญ เขาใช้ฉมวกแทงปลาได้อย่างไม่พลาดเลยสักตัวเดียว ในคืนวันที่แสงออกไปหาปลา เขาเจอปลาช่อนมากมาย เขารู้สึกสนุกกับการใช้ฉมวกแทงปลา และแทงได้เยอะมาก ปลาที่ถูกแทงนั้นมีรอยฉมวกแทงทะลุท้องทุกตัว !!
      
      เมื่อกลับบ้าน คนที่บ้านก็ดีใจที่แสงสามารถหาปลามาได้มากมาย แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาทำลงไปนั้น มันเป็นกรรมที่จะสะท้อนกลับมาหาตัวเขาเอง เพราะปลาจำนวนมากเหล่านั้นมันคงทุกข์ทรมานที่ถูกฉมวกแทงทะลุตั้งแต่หลังถึงท้อง และกว่าจะตายก็คงทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะอาฆาตแค้นแสงไม่น้อย
      
      แต่แสงก็ไม่ได้เชื่อเรื่องของเวรกรรม เพราะเขาเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากมาย หากเวรกรรมมีจริง ทำไมเขาจึงไม่เคยเป็นอะไรเลย โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี อุบัติเหตุต่างๆ ก็ไม่เคยพบ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงเกิดความประมาท ไม่สั่งสมบุญกุศลอะไรไว้เลย
      
      วันหนึ่งกฎแห่งกรรมก็ตามมาทัน... ในช่วงฤดูร้อนที่มะม่วงกำลังออกผลเต็มต้น ที่บ้านของแสงมีมะม่วงอยู่หลายต้น แสงอยากจะกินมะม่วง แต่ต้นมันสูงเหลือเกิน เขาจึงต้องปีนขึ้นไปเก็บบนต้นมะม่วง
      
      เมื่อขึ้นไปสูงแล้ว เขาเพิ่งนึกได้ว่า ลืมเอาถุงหรือตะกร้าขึ้นไปใส่มะม่วงด้วย เขาจึงใช้เสื้อของตัวเองเป็น ที่ใส่มะม่วง โดยใช้ปากคาบชายเสื้อด้านล่างขึ้นมาให้เป็นเหมือนถุง แล้วเก็บมะม่วงใส่ลงไป คิดว่าได้สัก 10-20 ลูกแล้วจะลงมา
      
      แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ช่วงที่กำลังเก็บมะม่วงอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น เท้าของเขาก็เหยียบกิ่งไม้พลาด ขณะที่มือก็กำลังคว้าเด็ดลูกมะม่วง ความที่กลัวมะม่วงในเสื้อจะหล่น เขาจึงพยายามเหนี่ยวกิ่งไม้เพื่อพยุงตัว แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถประคองตัวอยู่ได้
      
      แสงพลัดตกจากต้นมะม่วง ร่างของเขาลอยละลิ่วลงมาเสียบกับรั้วเหล็กด้านล่าง เหล็กแหลมเสียบจากท้องทะลุไปข้างหลัง เลือดสดๆไหลทะลักออกมาไม่หยุด!! สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับปลาที่เขาเคยใช้ฉมวกแทง แสงรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก พยายามตะโกนร้องให้คนช่วยจนหมดแรง แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน
      
      แสงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นเกือบ 30 นาที จึงมีคนเดินผ่านมาเห็น และเรียกให้คนอื่นๆมาช่วย แต่กว่าจะนำเหล็กที่เสียบออกได้ก็ทุลักทุเลทีเดียว และในระหว่างที่ผู้คนกำลังช่วยตัดเหล็กที่เสียบท้องของแสงอยู่นั้น ในจิตใต้สำนึกของเขาก็แวบขึ้นมาถึงกรรมเก่าที่ตัวเองเคยทำไว้ เขานึกถึงปลาจำนวนมากมายที่เขาเคยใช้ฉมวกแทงมันจนทะลุ เขาคิดอยู่ในใจเสมอว่า ที่เขาต้องมาโดนเสียบอยู่แบบนี้ จะต้องเป็นเพราะกรรมที่เขาทำไว้อย่างแน่นอน
      
      โชคดีที่แสงยังไม่ถึงคราวตาย เขารอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม แผลที่อยู่ที่ท้องของเขายังคอยเตือนเขาอยู่เสมอว่า หากทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นก็ย่อมตามสนองผู้กระทำนั่นเอง
      
      ทุกวันนี้แสงพยายามลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้น้อยลง และทำบุญสุนทานไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขาเคย กระทำไว้ในอดีตให้มากขึ้น
      
      นี่แหละคืออำนาจของกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จงหมั่นทำกรรมดีไว้ให้มากๆ อย่างน้อยที่สุดกรรมชั่วที่เคยทำไว้ในอดีต ก็จะให้ผลเบาบางลง เหมือนกับน้ำขุ่นที่อยู่ในแก้ว หากเติมน้ำดีลงไปมากๆ น้ำนั้นก็ย่อมกลายเป็นน้ำที่ใสสะอาดขึ้นมาได้ แต่จะให้ใสร้อยเปอร์เซ็นคงเป็นไปไม่ได้ กรรมชั่วที่ทำไว้ในอดีตก็เช่นเดียวกัน

ยิ้มกว้างๆ
6  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธศาสนามีห เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2012, 12:55:07 PM
พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเป็นอัศจรรย์ ซึ่งเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริงเป็นอัศจรรย์ ได้แก่ คำสอนที่จูงใจผู้ฟังให้นิยมคล้อยตามได้โดยสามารถชี้แจงแยกแยะหัวข้อธรรมให้พิสดารด้วยอุปมาอุปมัยที่ผู้ฟังเข้าใจง่ายและเห็นจริงดุจหงายของคว่ำอยู่ ทำให้ผู้ที่ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วได้แสดงตนเป็นสาวก และรับคำสอน ไปปฏิบัติตามจนได้บรรลุประโยชน์โภคผลตามสมควรแห่งการปฏิบัติของแต่ละบุคคล
      


      หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนามีปรากฏเป็นข้อมูลบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ในคัมภีร์พระบาลีไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกา ซึ่งเป็นคัมภีร์ภาษาบาลีอันถือว่าเป็นหลักฐานอ้างอิงชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา โดยพระภิกษุสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉาน แล้วทรงจำนำมาประยุกต์ประดิษฐ์ถ้อยคำไทยร่วมสมัยเหมาะกับสถานการณ์เพื่อประกาศเผยแผ่เทศนาอบรมสั่งสอนให้ประชาชนได้รับรู้ เข้าใจโดยง่าย และพิจารณาเลือกสรรน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวันของตน จึงมีศรัทธาประชาชนได้รวบรวมคำสอนเหล่านั้นไว้นำไปจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือธรรมะเผยแพร่แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป มีทั้งจัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในโอกาสต่างๆบ้าง จัดพิมพ์เพื่อการพาณิชย์บ้าง
      
      ปัจจุบันเป็นยุคข่าวสารข้อมูล หลักคำสอนสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้รับการนำไปเผยแผ่อย่างกว้างขวางแพร่หลายในสื่อวัสดุต่างๆ มีทั้งรูแปบบเป็นแถบบันทึก เสียง (เทป/ซีดี.) รูปแบบเป็นภาพประกอบเสียง (วีดีโอ./วีซีดี./ดีวีดี.) รวมถึงการเผยแผ่ทางเครือข่ายเชื่อมโยงที่กว้างไกล (เว็บไซต์ของอินเตอร์เน็ต)
      
      ดังนั้น พุทธศาสนิกชนผู้สนใจที่จะศึกษาหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาว่ามีความอัศจรรย์อย่างไร ก็สามารถศึกษาได้จากแหล่งความรู้อ้างอิงหรือสื่อวัสดุต่างๆ
      
      ในที่นี้ได้นำคุณลักษณะด้านคำสอนแห่งพระพุทธศาสนาตามนัยที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ได้ประมวลไว้ มาเสนอให้เห็นประจักษ์ ดังนี้
      
      ๐ พระพุทธศาสนาสอนว่า การอยู่ในอำนาจผู้อื่นเป็นทุกข์ จึงสอนให้มีอิสรภาพทั้งภายนอกและภายในอิสรภาพภายในคือไม่เป็นทาสของกิเลส หรือถ้ายังละกิเลสไม่ได้ ก็อย่าถึงกับปล่อยให้กิเลสบังคับมากเกินไป
      
      ๐ พระพุทธศาสนาสอนให้พยายามพึ่งตนเอง ไม่ให้มัวคิดแต่จะพึ่งผู้อื่น สอนให้มีความอดทนต่อสู้กับความยากลำบากและอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ พอพบอุปสรรคก็วางมือทิ้ง ถือว่าความอดทนจะนำประโยชน์ และความสุขมาให้ สอนให้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้าน ยิ่งสำหรับคฤหัสถ์ การตั้งเนื้อตั้งตัวได้ต้องมีความขยั่นหมั่นเพียร
      
      ๐ สอนให้ทำความดีเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ใช่ทำด้วยความโลภ คือ อยากได้สิ่งตอบแทน หรือทำด้วยความหลง คือไม่รู้ความจริง บางครั้งก็นึกว่าดีแต่กลายเป็นทำชั่ว
      
      ๐ สอนเน้นในเรื่องความเป็นผู้กตัญญูรู้คุณผู้อื่น และกตเวทีตอบแทนพระคุณท่าน และสรรเสริญว่าใครมีคุณข้อนี้ชื่อว่าเป็นคนดีและประพฤติสิ่งเป็นสวัสดิมงคล
      
      ๐ สอนให้มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร และในขณะเดียวกัน ก็ให้พยายามทำตนอย่าให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ให้รู้จักผูกไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน จึงเท่ากับสอนให้แก้ความชั่วด้วยความดี ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร ให้ระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ ใหม่ๆ อาจทำได้ยาก แต่ถ้าลองฝึกหัดทำดูบ้าง จะได้รับความเย็นใจ สงบร้อน หมดเวรหมดภัย
      
      ๐ สอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านพืชเช่นใดก็ได้ผลเช่นนั้น จึงเท่ากับสอนให้หว่านแต่พืชที่ดี คือพยายามทำแต่กรรมดี พยายามละเว้นความชั่วทั้งปวง
      
      ๐ สอนให้ประกอบเหตุ คือลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมาย ไม่ใช่ให้คิดได้ดีอย่างลอยๆ โดยคอยพึ่งโชคชะตาหรืออำนาจลึกลับใดๆ จึงเท่ากับสอนให้ลงมือปฏิบัติ เพื่อจะได้รู้แจ้งผลดีด้วยตนเอง ไม่ต้องเดาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังเดาอยู่ ตราบนั้นยังไม่ชื่อว่ารู้ความจริง
      
      ๐ สอนมิให้เชื่ออะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ให้ใช้ปัญญากำกับความเชื่ออยู่เสมอ สอนให้รู้จักพิสูจน์ความจริงด้วยการทดลอง การปฏิบัติ และการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
      
      ๐ สอนยิ่งกว่าเทศบาลและรัฐบาล คือ เทศบาลปกครองเฉพาะท้องถิ่น ส่วนรัฐบาลก็ปกครองเฉพาะประเทศ แต่พระพุทธศาสนาสอนให้มีโลกบาลธรรม คือธรรมอันปกครองโลก ได้แก่ หิริ ความละอายแก่ใจ ต่อการทำบาป ทำชั่ว ประพฤติทุจริตทุกชนิดทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวหวาดหวั่นต่อผลของบาปทุจริตที่จะกระทำลงไปนั้น
      
      ๐ สอนให้มีสติกับปัญญาคู่กัน คือ ให้มีความเฉลียวคู่กับความฉลาด ไม่ใช่เฉลียวอย่างเดียวหรือฉลาดอย่างเดียว จึงสอนให้มีสติกับสัมปชัญญะ อันเป็นตัวปัญญาคู่กันและถือว่าเป็นธรรมมีอุปการะมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
      
      ๐ สอนให้บุคคลมีความเจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ เช่น สอนให้เคารพในการศึกษา ให้มีการสดับตรับฟังมาก ให้คบหาผู้รู้หรือคนดีและสนใจฟังคำแนะนำของท่าน โดยเฉพาะได้สอนว่าไม่สรรเสริญความหยุดอยู่ในคุณความดี สรรเสริญแต่ความเจริญก้าวหน้าในคุณความดี
      
      ๐ สอนให้รู้จักเสียสละเป็นชั้นๆ ให้สละสุขเล็กน้อยเพื่อสุขอันสมบูรณ์ ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เป็นการสอนให้ยกจิตใจให้สูงขึ้นในที่สุด จึงเท่ากับสอนให้ยอมเสียน้อย เพื่อไม่ให้เสียมาก
      
      เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้น อันจะต้องเสียสละบ้างก็ควรพิจารณา และสอนให้เอื้อเฟื้อแผื่อแผ่ทั้งทางวัตถุและทางน้ำใจ เพื่อจะได้อยู่อย่างผาสุกร่วมกัน ในสังคม สอนมิให้ปลูกศัตรูหรือมองเห็นใครต่อใครเป็นศัตรู โดยเฉพาะไม่สอนให้เกลียดชังคนที่นับถือศาสนาอื่น จึงนับว่าเป็นศาสนาที่มีใจกว้าง
      
      ๐ สอนให้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ไม่ให้เป็นคนดื้อว่ายากสอนยาก คนที่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นย่อมมีโอกาสแก้ไขความผิดพลาดบกพร่องของตนเองอยู่เสมอ
      
      ๐ สอนมิให้ใช้วิธีอ้อนวอนบวงสรวงเพื่อให้สำเร็จผล แต่สอนให้ลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมายนั้นให้ถูกทาง
      
      ๐ สอนให้รักษากายวาจาให้เรียบร้อยด้วยศีล ให้รักษาจิตให้สงบไม่ฟุ้งซ่านด้วยสมาธิ และให้รักษาทิฏฐิคือความคิดมิให้ผิด แต่ให้ไปตรงทางด้วยปัญญา ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นข้อปฏิบัติตามลำดับต่ำสูงทางพระพุทธศาสนา จึงเท่ากับสอนว่า เมื่อมีศีล คือรักษากาย วาจาให้เรียบร้อยได้ ย่อมเป็นอุปการะให้สมาธิเกิดได้เร็ว สมาธิคือการที่ใจตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อมีสมาธิก็ช่วยให้เกิดปัญญาได้สะดวกขึ้น
      
      พระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรดี เพราะข้อปฏิบัติมากเหลือเกิน ก็สอนให้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว คือให้รักษาคุ้มครองจิตให้เป็นไปถูกทาง เสร็จแล้วจะเป็นอันคุ้มครองกาย วาจา และอื่นๆ ไปในตัว
      
      ๐ สอนให้มองโลกโดยรู้เท่าทันความจริงที่ว่า สรรพสิ่งมีความไม่เที่ยงแท้ถาวรคงทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตนที่พึงยึดติดยึดถือ เพื่อจะได้มีความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่ยึดมั่นจนเกินไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้โดยง่าย
      
      ๐ สอนให้ถือธรรม คือความถูกความตรงเป็นใหญ่ ไม่ให้ถือตนเป็นใหญ่ หรือถือโลกเป็นใหญ่ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ถือบุคคลเป็นสำคัญ แต่ถือธรรมหรือความถูกตรงเป็น สำคัญ
      
      ๐ สอนปรมัตถ์คือประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้รู้จักความ จริงที่เป็นแก่น ไม่หลงติดอยู่ในความสมมติต่างๆ เช่น ลาภยศ เป็นต้น แต่ในการเกี่ยวข้องกับสังคม ก็สอนให้รู้จักรับรองสมมติทางกายและวาจาตามสมควร เช่น เมื่อเข้าประชุมชน ก็ให้ทำตนให้เข้าได้กับประชุมชนนั้นๆ ให้ใช้ถ้อยคำให้ถูกตามสมมติบัญญัติ ไม่ใช่เมื่อถือว่าไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาแล้ว ก็เลยเข้ากับใครไม่ได้ การที่พระพุทธศาสนายั่งยืนมาได้ ก็เพราะถึงคราวรับรองสมมติบัญญัติ ก็รับรองตามสมควร ถึงคราวสอนใจให้รู้เท่าสมมติบัญญัติ ก็สอนใจมิให้ติดมิให้หลงจนเป็นเหตุมัวเมางมงาย
      
      ๐ สอนให้ดับทุกข์ โดยรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นต้นเหตุ และการดับทุกข์ ได้แก่ ดับเหตุของทุกข์ รวมทั้งให้รู้จักข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับทุกข์ด้วย จึงชื่อว่าสอนเรื่องดับทุกข์ได้อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งควรจะได้ศึกษาและปฏิบัติตาม
      
      ๐ สอนรวบยอดให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ สอนไม่ให้ลืมตนทะนงตน หรือ ขาดความระมัดระวัง ถือว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย และความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
      
      ๐ พระพุทธศาสนามิได้สอนให้ย่ำยีหรือซ้ำเติมคนที่ทำอะไรผิดไปแล้ว ควรจะช่วยกันให้กำลังใจในการกลับตัวของเขา ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยาม พระพุทธเจ้าเองก็เคยทรงเล่าเรื่องความผิดของพระองค์ในสมัยยังทรงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อันแสดงว่าตราบใดยังมีกิเลส ตราบนั้นก็อาจทำชั่วทำผิดได้ แต่ข้อสำคัญ ถ้ารู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบแล้วจะต้องพยายามกลับตัวให้ดีขึ้นเสมอ
      
      พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่สอนให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นจะเพราะชาติสกุล เพราะทรัพย์ หรือเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม ไม่ชื่อว่าปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา
      
      ๐ พระพุทธศาสนาสอนทางสายกลางระหว่างการทรมานตัวเองให้เดือดร้อน กับการปล่อยตัวให้เหลิงเกินไป และสอนทางสายกลางระหว่างความเห็นที่ว่าเที่ยงกับความเห็นที่ว่าขาดสูญ การสอนทางสายกลางนี้ย่อมเป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน อะไรก็ตามมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ย่อมไม่ดี

ยิ้มกว้างๆ
7  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / กลวิธี รักษาโรคทางใจ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 10:54:32 AM


ชีวิตกับธรรมะจะต้องอยู่ด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าแยกตัวชีวิตออกจากธรรมะเมื่อใด ก็เหมือนกับว่าเป็นคนไม่มีชีวิต ชีวิตจะสมบูรณ์เรียบร้อยก็ต้องมีธรรมะประคับประคองจิตใจเรียกว่ามีชีวิต ใครเข้าถึงธรรมะ ผู้นั้นก็เรียกว่ามีชีวิต ทิ้งธรรมะเสียเมื่อใดชีวิตวุ่นวายเมื่อนั้น เราจะเห็นได้ง่ายๆว่า เวลาเรามีความวุ่นวายใจ มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจนั้นก็เพราะขาดธรรมะเป็นหลักคุ้มครองใจ เมื่อไม่มีธรรมะคุ้มครองใจ จิตใจวุ่นวาย มีความเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะว่าไม่เข้าถึงธรรมะ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าถึงธรรมะ ความทุกข์หายไป ความเดือดร้อนทั้งหลาย ก็คลายจางไป ชีวิตมันสมบูรณ์ขึ้น ชีวิตกับธรรมะจึงสิ่งคู่กันแยกออกจากกันไม่ได้
      
      เราทั้งหลายที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงได้แสวงหาธรรมะเป็นหลักครองใจและก็ได้เห็นผลของธรรมะว่า ให้ความคุ้มครองให้ความสุขแก่ชีวิตของเราอย่างไรบ้าง ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหลายประการ ในแง่ต่างๆเราแก้มันได้ด้วยอะไร ถ้าที่ประพฤติธรรมก็แก้มันด้วยความรู้ความเข้าใจในธรรมะ เอาธรรมะมาแก้ปัญหา ชีวิตก็ผ่อนคลายไป พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน อันนั้นคือผลที่ปรากฏอยู่
      
      ความไม่สบายใจนั้นก็เป็นโรคอย่างหนึ่งเหมือนๆ กับโรคทางร่างกาย คนเราที่เป็นโรคทางกายต้องกินยาเพื่อรักษาโรคทางกายฉันใด เมื่อมีโรคทางจิตใจขึ้นมา ก็ต้องใช้ยาแก้โรคทางใจ ยาแก้โรคทางกายนั้นเป็นเรื่องทางวัตถุ เพราะว่าร่างกายนี้เป็นวัตถุ เกิดขึ้นด้วยธาตุมีประการต่างๆ การมีโรคทางกายก็เนื่องจากว่า อะไรบางอย่างขาดไป ความต้านทานก็น้อยไป จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกายขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่ารู้ทัน โรคนั้นก็จะกำเริบเสิบสาน ทำให้เราต้องพ่ายแพ้แก่โรค ร่างกายถึงแก่ความแตกดับลงไปได้ ฉันใด ในเรื่องทางจิตใจนี่ก็เหมือนกัน มันมีโรคทางใจเกิดขึ้นบ่อยๆ
      
      โรคทางใจนั้นไม่เหมือนกับโรคทางกาย คือโรคทางกายมันมีตัวเชื้อโรคประเภทต่างๆที่เข้ามายึดเอาร่างกายเป็นเรือนของมัน เป็นที่เกิดเป็นที่อาศัย แล้วก็ทำให้เราต้องพ่ายแพ้ คนใดที่ยังมีกายปกติ ก็หมายความว่าความต้านทานทางร่างกายนั้นยังดีอยู่ เมื่อความต้านทางร่างกายยังสมบูรณ์พร้อม เราก็เอาชนะโรคได้ แต่ก็ไม่แน่นักว่าความต้านทานทางกายนี้จะดีหรือสมบูรณ์อยู่ตลอดไป มันอาจจะเกิดความเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ เพราะฉะนั้นคนบางคนที่เรามองเห็นว่า มีร่างกายเป็นปกติแข็งแรง แต่ก็เกิดการเจ็บไข้ลงได้ทันที อันนี้แสดงว่ามันมีเชื้อโรคอย่างแรงเกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้ความต้านทานของร่าง กายนั้นสู้ไม่ได้ ก็เลยต้องยอมแพ้มัน กลายเป็นโรคประจำกายประจำตัวไป และอาจจะถึงความแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้
      
      การเรียนรู้ในเรื่องโรคทางกาย ก็เพื่อจะได้มีการป้องกัน แก้ไข เมื่อโรคนั้นเกิดขึ้น เราก็จะได้มีชีวิตเป็นปกติ ไม่วุ่นว่ายมากเกินไป ฉันใด เรื่องของจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อมีโรคทางใจเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเราพ่ายแพ้ ต่อสิ่งที่ยั่วยุ คืออารมณ์ประเภทต่างๆ ที่เข้ามากระทบประสาททั้งห้า คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และหกรวมทั้งใจด้วย อันนี้เป็นประตูแห่งโรคทางใจ เพราะว่ามีสิ่งภายนอก มากระทบ
      
      เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบเข้าแล้วเราไม่สามารถจะต่อสู้มันได้ เราก็พ่ายแพ้แก่สิ่งนั้น การพ่ายแพ้ก็หมายความว่าตกเป็นทาสของสิ่งนั้น เช่น ตกเป็นทาสของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเป็นเรื่องของวัตถุเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่า มัวเมาในวัตถุ หลงใหลอยู่ในสิ่งนั้น ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น จิตใจก็วุ่นวายมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยๆ อาจถึงกับเสียผู้เสียคนไปก็ได้
      
      การสูญเสียทางร่างกายนั้น ไม่เป็นการสูญเสียเท่าใด แต่การสูญเสียทางด้านจิตใจนั่นแหละ เป็นความสูญเสีย อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา เพราะคนเราถ้าใจมันเสียแล้ว อะไรๆก็จะพลอยเสียไปหมด แม้ร่างกายจะเป็นปกติ แต่ว่าจิตใจมันเสียกำลังไป จะเป็นคนที่สมบูรณ์อยู่ได้อย่างไร
      
      กำลังใจจะสูญเสียก็เพราะว่าปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไป ในสิ่งต่างๆที่เป็นวัตถุอันเกิดขึ้นกระทบทางจิตใจ เราไม่สามารถจะเอาชนะสิ่งนั้นได้ ที่ไม่สามารถจะเอาชนะ ได้ก็เพราะว่าไม่มีสติไม่มีปัญญา ตัวสติก็คือตัวธรรมะ ปัญญาก็คือตัวธรรมะ เราไม่มีธรรมะคุ้มครองจิตใจ เราจึงได้พ่ายแพ้แก่สิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าเรามีสติรู้ทัน มีปัญญา รู้เท่าต่อสิ่งนั้น เราไม่พ่ายแพ้แก่อารมณ์ สิ่งใดมากระทบ เราก็ปัดมันไป ไม่ยอมรับไว้โดยความไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ว่า เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรียกว่าด้วยความรู้เท่าทัน
      
      ก็เหมือนกับคลื่นที่มากระทบฝั่ง มันหายไป คลื่นที่หายไปนั้นไม่ได้ทำฝั่งให้เสียหาย เช่น เราไปยืนอยู่ที่ชายทะเล ก็จะพบว่ามีคลื่นมากระทบฝั่งอยู่ตลอดเวลา กระทบแล้วมันก็หายไป อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากระทบ จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่รู้เท่าทันมันก็ทำให้เราเสียหาย คือทำให้เกิดความรู้สึกรุนแรงในเรื่องนั้นๆ ความรู้สึกรุนแรงมันเป็นไปทางรักก็ได้ ทางชังก็ได้ ทางหลงก็ได้ หรือทางใดทางหนึ่งก็ได้ ถ้ารุนแรงแล้วมันก็วุ่นวายเดือดร้อน แต่ถ้าเป็นไปแต่พอดีๆ ก็จะไม่เกิดความเสียหายมากเกินไป อันนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้ถ้าหากว่าบุคคลนั้นขาดธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองใจก็จะเกิดปัญหาวุ่นวายกันด้วยประการต่างๆ

ยิ้มกว้างๆ
8  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / ผลกรรม พิการเพราะฆ่าแมว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2012, 09:37:21 PM
ผลแห่งกรรมนั้น หากจังหวะเวลาและโอกาสมาพร้อม เมื่อไหร่ มันก็จะให้ผลเมื่อนั้น จึงไม่ควรประมาทในชีวิต หากใครเผลอพลาดพลั้งไปทำกรรมชั่วแล้ว ก็จงละ เลิก และหมั่นสั่งสมกรรมดีไว้ให้มากๆ กรรมชั่วที่เคยทำไว้จะได้เบาบางลง หากไม่ทำความดี มีแต่สั่งสมกรรมชั่วเรื่อยไป ไม่นานกรรมชั่วทั้งหลายก็คงจะตามมาทันอย่างแน่นอน และวันนั้นจะเป็นวันแห่งความทุกข์ของชีวิตที่ไม่มีทางหลีกหนีได้ ดังเช่นเรื่องราวของนายสมหมาย ซึ่งเป็นชาวจังหวัดยโสธร มีอาชีพทำไร่ทำนา ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้ถึงอำนาจของกฎแห่งกรรมที่ทeงานอย่างตรงไปตรงมา เรื่องมีอยู่ว่า
      


      ในช่วงฤดูฝน มีน้ำหลาก นายสมหมายก็ออกไปหาปลาที่ท้องไร่ท้องนาตามปกติ วันหนึ่งสมหมายหาปลาได้มากกว่าปกติ มีแต่ปลาช่อนตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น เขาดีใจมาก กลับมาที่บ้านก็มีแต่คนชมว่าเก่ง สามารถหาปลาได้มากมาย เขาเอาปลาที่หามาได้ทั้งหมดขังไว้ในตุ่ม
      
      สมหมายหลงกระหยิ่มยิ้มย่องกับความโชคดีของตน แต่หารู้ไม่ว่าความโชคดีนั้นกำลังจะนำไปสู่ความหายนะของชีวิตตนเอง เขาไม่เคยหวาดกลัวกับบาปกรรมที่ตนกระทำไว้เลย
      
      เขาได้นำปลาที่ตนเองหามาได้นั้นมาปรุงเป็นอาหารอยู่หลายวัน แต่ปลาก็ยังไม่หมด ยังเหลืออยู่จำนวนมาก เขาจึงคิดว่าจะย่างปลาแล้วตากแห้ง เพราะจะทำให้เก็บไว้ได้นาน คิดแล้วเขาก็จัดการฆ่าปลาทุกตัวที่ขังอยู่ในตุ่ม และย่างปลาเหล่านั้นทันที

      เมื่อย่างปลาเสร็จก็นำไปตากแดดอีกครั้งให้แห้ง หลังตากปลาแล้ว เขาก็เข้าไปพักผ่อน คิดว่าแดดแรงๆอย่างนี้อีกสักพักปลาก็คงแห้งสนิทดี ก็จะได้เก็บเข้าบ้าน เพื่อใช้ปรุงอาหารในมื้อต่อๆไป
      
      แต่ในระหว่างที่เขากำลังหลับสบายอยู่นั้น ก็มีแมวตัวหนึ่งเดินผ่านมาพอดี และด้วยความหอมของปลาย่างนั่นเอง มันจึงเดินเข้ามายังที่สมหมายตากปลาไว้ เมื่อเห็นปลาย่างจำนวนมากวางอยู่ต่อหน้า เจ้าแมวก็เลยกินปลาย่างเหล่านั้นอย่างสบายใจ
      
      แต่ก่อนที่ปลาย่างจะหมด สมหมายก็ตื่นพอดี เขารีบลุกขึ้นเพื่อจะไปเก็บปลาที่ตากไว้ แต่บังเอิญมาเจอแมวกำลังกินปลาย่างของเขาอยู่ และเมื่อมองเห็นว่าปลาย่างที่ตากไว้หายไปเยอะ เหลือเพียงไม่กี่ตัว ทำให้สมหมายโกรธ จัดจนเลือดขึ้นหน้า เขารีบคว้าท่อนไม้เท่าที่หาได้ วิ่งไล่ตีแมว เจ้าแมวตกใจจึงปล่อยปลาย่างที่อยู่ในปากแล้วรีบกระโดดหนีไปอย่างรวดเร็ว สมหมายพยายามวิ่งไล่ตีแมว แต่ก็ไม่ทันมันเสียแล้ว
      
      เมื่อสมหมายทำอะไรเจ้าแมวไม่ได้ เขาก็ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก ไฟแห่งความโกรธได้ลุกโพลงอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา ยามที่เห็นปลาย่างจำนวนมากที่ตนเองหามาได้ ต้องหายไปในพริบตา เพราะแมวมาขโมยกิน ซึ่งความจริงแล้วแมวอาจจะไม่ได้ขโมย มันเห็นอาหารมันก็กินไปตามประสาของมัน แต่สำหรับสมหมาย.. ไม่ได้คิดเช่นนั้น
      
      เวลาผ่านไปสองสามวัน สมหมายยังไม่หายโกรธ เขาคิดวางแผนที่จะจัดการกับแมวตัวนี้ให้จงได้ แล้วเขาก็หาปลาย่างมาล่อแมวให้ติดกับดักของเขา และแล้วแมวก็หลงกลของเขาจริงๆ มันเดินมาเจอปลาย่างอีก และรีบเข้าไปกินทันที โดยไม่ได้เฉลียวใจอะไร แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะสมหมายรอดักจับอยู่ ขณะที่เจ้าแมวกำลังเพลินกับการกินปลาย่างนั้น สมหมายก็ย่องเข้ามาตะครุบแมวหัวขโมยทันที
      
      สมหมายหัวเราะด้วยความดีใจระคนเคียดแค้น คราวนี้เขาจะได้จัดการกับมันอย่างสาสมกับที่มันมาขโมยปลาย่าง เขาอุ้มแมวเดินไปหาเชือกไนล่อนเส้นเท่านิ้วก้อยที่เตรียมไว้ เอาปลายเชือกข้างหนึ่งมาผูกที่คอของแมว ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งโยงเข้าไว้กับกิ่งไม้ใหญ่ที่สูงทีเดียว เจ้าแมวจึงห้อยโตงเตงอยู่ที่ต้นไม้ เพราะเขาต้องการให้มันตายอย่างช้าๆและทุกข์ทรมาน แต่แค่นี้ยังไม่หนำใจ เขานำปลาย่างมาโชว์ให้มันดูด้วย
      
      ผ่านไปได้สักพัก เจ้าแมวก็รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ค่อยออก เพราะเชือกที่รัดคอมันแน่นมาก มันจึงร้องและดิ้นอย่างทุรนทุราย ขณะที่สมหมายนั่งมองดูด้วยความสะใจ พร้อมกับพูดสมน้ำหน้าว่า “เป็นไงล่ะ..สาสมดีแล้ว กับที่เจ้ามาขโมยของข้ากิน ก็จะต้องตายแบบนี้”
      
      สมหมายได้ระบายความโกรธที่อยู่ในใจของเขาอย่างโหดเหี้ยม แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่า การกระทำด้วยความโกรธเช่นนี้จะส่งผลกรรมอันใหญ่หลวงต่อชีวิตของเขา เพราะอำนาจของความโกรธได้ปิดบังดวงตาแห่งปัญญาของเขาไม่ให้รู้บาปบุญคุณโทษนั่นเอง เขาเพียงแต่นึกว่า มันสาสมกันแล้วที่แมวมาขโมยกินปลาย่างของเขา มันจึงสมควรตาย
      
      หลังจากนั้นต่อมาไม่ถึงปี กรรมที่สมหมายได้กระทำไว้กับแมว ก็เริ่มย้อนเข้ามาหา ในช่วงงานเทศกาลบุญบั้งไฟ ซึ่งสมหมายก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบทำบั้งไฟ ทุกๆ ปีเขาก็จะต้องทำบั้งไฟเล่นกับเพื่อนๆ เป็นประจำ
      
      แล้ววันที่สมหมายต้องชดใช้กรรมก็มาถึง ในระหว่างที่เขากำลังทำบั้งไฟอยู่นั้น ปากของเขาก็คาบบุหรี่ไปด้วย และด้วยความประมาททำให้สะเก็ด ไฟจากบุหรี่หล่นลงมาถูกดินปืนที่ใช้สำหรับทำบั้งไฟ จึงเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
      
      สมหมายได้รับบาดเจ็บสาหัส ตามลำตัวของเขาถูกสะเก็ดดินปืนจนเป็นบาดแผล โดยเฉพาะที่คอสาหัสมาก จนหายใจไม่ค่อยออก เขานอนกุมคอร้องโอดครวญดิ้นทุรนทุราย ไม่ต่างอะไรกับแมวที่เขาเคยผูกคอมันจนตาย และในช่วงนั้นเอง กรรมที่เขาเคยทำไว้ก็ได้แวบขึ้นมาปรากฏในใจทันที เหมือนกับว่ามันมาทวงสัญญาคืน สมหมายจึงรีบตั้งจิตอธิษฐานว่า หากไม่ตายจะทำบุญอุทิศไปให้แมวตัวนี้
      
      ในที่สุดเพื่อนๆที่เล่นบั้งไฟอยู่ด้วยกันแถวนั้นก็ได้นำเขาส่งโรงพยาบาล หมอสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ไม่สามารถให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม เพราะมีปัญหาที่คอ เวลากินอาหารทุกครั้งจะกินและกลืนด้วยความยากลำบาก บางทีถึงกับต้องกินอาหารทางสายยาง สมหมาย รู้สึกทรมานมาก แต่เขาก็ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ได้ก่อไว้
      
      อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็พยายาทำบุญกุศลอุทิศไปให้กับแมวตัวนั้น และไม่กล้าทำบาปอีกเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
      
      ความดีเท่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐ และทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง กรรมชั่วไม่เคยทำให้ใครได้ดีจริง ไม่สามารถสร้างความสุขให้ได้อย่างแท้จริง กรรมดีต่างหาก ที่นึกถึงเมื่อใหร่ก็สุขใจเมื่อนั้น การทำกรรมดียังทำให้เราเป็นคนองอาจในทุกที่ทุกสถาน ไปไหนก็ได้รับความเคารพยกย่อง เทิดทูนบูชา อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุขสงบเย็นตลอดไป

 ยิ้มกว้างๆ
9  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / 10 ระดับ ความสุขความเจริญ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2012, 03:22:39 PM


การที่พระพุทธองค์ทรงส่งพระสาวกออกประกาศศาสนาและพระองค์ก็เสด็จออกทำหน้าที่ด้วยนั้น มีจุดประสงค์อีกประการหนึ่งคือ สุขาย(สุ-ขา-ยะ) เพื่อความสุข ถ้าพิจารณาดูให้ลึกเข้าไปว่า ความสุขระดับไหน ความสุขประเภทไร ก็อาจจะพิจารณาได้หลายประเภท หลายแง่มุม อย่างน้อยพระองค์ก็สอนให้คนที่อยู่ในโลกิยสุข รู้จักแสวงหากามสุข สุขด้วยความปลอดภัย
      
      ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐) ได้จำแนกความสุขออกไปทั้งโดยประเภทและโดยระดับเป็นคู่ๆ มากมายหลายคู่ เช่น สุขของคฤหัสถ์กับสุขของบรรพชิต กามสุขกับเนกขัมมสุข โลกิยสุขและโลกุตตรสุข สุขของพระอริยะกับสุขของปุถุชน เป็นต้น ความสุขที่ท่านแบ่งไว้ชัดเจน ละเอียด ดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน น่าจะได้แก่ วิธีแบ่งระดับความสุขเป็น ๑๐ ขั้น คือ
      
      • ระดับความสุข ๑๐ ขั้น
      
      ๑. กามสุข ความสุขเนื่องด้วยกาม ซึ่งเกิดจากความกำหนัดยินดีในรูปที่สวย เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอม รสที่อร่อย และสัมผัสอันอ่อนนุ่มสุขสบาย หรือเรียกว่าความสุขที่เกิดจากกามคุณ ๕
      
      ๒. ปฐมฌานสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่ง รูปฌานขั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นภาวะจิตที่สามารถสลัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ประกอบด้วยองค์ธรรม ๕ ประการ คือ วิตก (ภาวะจิตที่ตรึกนึกอารมณ์ขึ้นเป็นครั้งแรก) วิจาร (ภาวะจิตที่เฟ้นพิจารณาอารมณ์นั้น) ปีติ (ภาวะจิตที่กำซาบอิ่มเอิบในอารมณ์) สุข (ภาวะจิตที่สุขสบายในอารมณ์) และเอกัคคตา (ภาวะจิตที่เป็นสมาธิหรือมีอารมณ์เดียว)
      
      ๓. ทุติยฌานสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่ง รูปฌานขั้นที่ ๒ ซึ่งประกอบด้วยองค์ธรรม ๓ ประการ คือ ปีติ สุข และเอกัคคตา
      
      ๔. ตติยฌานสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่ง รูปฌานขั้นที่ ๓ ซึ่งประกอบด้วยองค์ธรรม ๒ ประการ คือ สุข และเอกัคคตา
      
      ๕. จตุตถฌานสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่ง รูปฌานขั้นที่ ๔ ซึ่งประกอบด้วยองค์ธรรม ๒ คือ อุเบกขา (ภาวะจิตที่วางเฉยในอารมณ์) และเอกัคคตา
      
      ๖. อากาสานัญจายตนสมาปัตติสุข ความสุขจากภาวะ จิตที่เข้าสมาธิแห่งอรูปฌานขั้นที่ ๑ ซึ่งมีอากาศอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอารมณ์ หมายถึง ความสุขที่เกิดจากฌานจิตที่เลิกเพ่งกสิณ แล้วมากำหนดอากาศคือที่ว่างช่องว่าง เป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นว่าอากาศไม่มีที่สุด
      
      ๗. วิญญาณัญจายตนสมาปัตติสุข ความสุขจากภาวะ จิตที่เข้าสมาธิแห่งอรูปฌานขั้นที่ ๒ ซึ่งยึดเอาวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ หมายถึงความสุขที่เกิดจากฌานจิตที่เลิกเพ่งอากาศหรือที่ว่างนั้น แล้วมากำหนดเพ่งดูวิญญาณจิตที่แผ่ไปสู่ที่ว่างเป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นว่าวิญญาณไม่มีที่สุด
      
      ๘. อากิญจัญญายตนสมาปัตติสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่งอรูปฌานขั้นที่ ๓ หมายถึง ความสุขที่เกิดจากฌานจิตที่เลิกกำหนดเพ่งดูวิญญาณจิตที่แผ่ไปสู่ที่ว่าง แล้วมากำหนดภาวะที่ไม่มีอยู่แห่งวิญญาณเป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นว่าสักหน่อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี
      
      ๙. เนวสัญญานาสัญญายตนสมาปัตติสุข ความสุขจากภาวะจิตที่เข้าสมาธิแห่งอรูปฌานขั้นที่ ๔ อันถึงภาวะที่สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เป็นอารมณ์ หมายถึงฌานที่เลิกกำหนดภาวะที่ไม่มีแห่งวิญญาณนั้น แล้วเข้าถึงภาวะที่มีสัญญา (ภาวะที่จิตกำหนดหมาย) ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ที่ละเอียดประณีตกว่าความสุขในขั้นอรูปฌานที่ ๓ นั้น
      
      ๑๐. สัญญาเวทยิตนิโรธสมาปัตติสุข สุขเกิดจากภาวะ จิตสงบประณีต เข้าถึงนิโรธสมาบัติ อันถึงภาวะที่ดับสัญญาและเวทนาทั้งหมด เป็นภาวะจิตที่ละเอียดมีความประณีตลึกซึ้งกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาปัตติสุขขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง โดยผู้เข้าสมาบัตินี้จะไม่มีสัญญาและไม่มีเวทนา
      
      ถ้าย่อทั้ง ๑๐ นี้ลงอีก ก็เหลือ ๓ ข้อ คือ กามสุข ความสุขของคนทั่วไป ฌานสุข ความสุขของผู้ได้สมาธิจิต ขั้นฌาน นิโรธสมาปัตติสุข ความสุขเกิดจากการเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์
      
      ความสุขทั้งหมดนี้ท่านยอมรับว่าเป็นความสุขทั้งนั้น แต่เป็นความสุขที่ดีกว่าประเสริฐกว่ายิ่งไปตามลำดับ ประณีตบริสุทธิ์มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น พระพุทธองค์ก็ยังขอให้มองความสุขเหล่านี้เป็น ๓ ส่วน คือ แง่ที่เป็นสุข แง่ที่มีทุกข์ และให้รู้จักทางออก เรียกว่ามองเป็น ๓ มิติ ในขั้นสุดท้ายก็เกิดมรรคสุข ผลสุข และนิพพานสุข ซึ่งไม่ กลับกลายอีก มีแต่ความปลอดโปร่งถ่ายเดียว นี่คือประโยชน์สุขที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เข้าถึงให้ได้
      
      • ความเจริญที่ประเสริฐ
      สำหรับคฤหัสถ์ ๑๐ ระดับ

      
      ในวัฑฒิสูตร ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๗๔) พระพุทธองค์ทรงแสดงความเจริญในขั้นตอนต่างๆ ของชีวิตคฤหัสถ์ไว้ ๑๐ ระดับ คือ
      
      ๑. เจริญด้วยอสังหาริมทรัพย์ มีเรือกสวน ไร่นา เป็นต้น
      ๒. เจริญด้วยสังหาริมทรัพย์ มีเงินทอง ข้าวเปลือก เป็นต้น
      ๓. เจริญด้วยบุตรธิดาและภรรยา
      ๔. เจริญด้วยข้าทาสบริวาร ลูกน้อง กรรมกร คนใช้
      ๕. เจริญด้วยสัตว์เลี้ยงต่างๆ ในกรณีที่มีอาชีพทางเลี้ยงสัตว์
      ๖. เจริญด้วยศรัทธา คือ ความเชื่ออันมั่นคง
      ๗. เจริญด้วยศีล คือ การควบคุมกายและวาจาตนเอง ให้ปกติ
      ๘. เจริญด้วยสุตะ คือ การศึกษา การสดับรังฟัง ความรู้ในวิทยาการต่างๆ
      ๙. เจริญด้วยจาคะ คือ การเสียสละเพื่อเกื้อกูลแก่คน อื่น
      ๑๐. เจริญด้วยปัญญา คือ มีความรอบรู้ในเหตุผลต่างๆ ทั้งด้านดีและไม่ดี

      
      พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า หากบุคคลเจริญด้วยความเจริญในระดับต่างๆ ดังกล่าว ชื่อว่าเจริญด้วยความเจริญอันประเสริฐ เพราะสามารถถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือสิ่งที่ประเสริฐแห่งชีวิตได้ และตรัสสรุปความเป็นพระพุทธคาถาว่า
      
      “ในโลกนี้ บุคคลใดเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา (ทาสกรรมกร) และสัตว์สี่เท้า บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นผู้อันญาติมิตร และพระราชาบูชาแล้ว
      
      ในโลกนี้ บุคคลใดเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา บุคคลเช่นนั้นจัดเป็นสัตบุรุษ มีปัญญาเห็นประจักษ์ ย่อมเจริญด้วยความเจริญสองส่วน”
      
      จากพระพุทธคาถาสรุปความในพระสูตรนี้ เป็นเครื่อง ชี้ให้เห็นได้ว่าในทางพระพุทธศาสนามองปัจจัยแห่งการอยู่ดีมีสุขของคนผู้ครองเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็น ๒ ชั้น คือ
      
      (๑) ชั้นของการสนองตอบความต้องการหรือการบำบัดทุกข์
      (๒) ชั้นของการบำบัด หรือบรรเทา คือการลดกระแส ของความอยาก ความต้องการที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด โดยให้ลดความรุนแรงลงเป็นชั้นของการบำรุงสุข


ยิ้มกว้างๆ
10  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / กรรมที่ทำให้ขาขาด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2012, 04:39:43 PM


กฎแห่งกรรมเป็นกฎเกณฑ์ที่ตรงไปตรงมา ใครทำกรรมอย่างใดไว้ ย่อมได้รับผลอย่างนั้น เราทุกคน เกิดมาจึงเป็นผู้สร้างเหตุปัจจัยให้กับตนเอง หากอยากประสบความสุขความสำเร็จ ก็ต้องสร้างเหตุปัจจัยที่ดี เหตุปัจจัยที่ไม่ดี ย่อมนำมาแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับตนเอง
      
      ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต ซึ่งไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้
      
      สุวิมล เป็นคนจังหวัดราชบุรี มีอาชีพทำไร่ทำสวน สมัยที่ยังเป็นเด็ก เธอซุกซนมาก มีอะไรให้เล่นก็เล่นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่นกับชีวิตของสัตว์อื่นๆ
      
      หลายครั้งที่เธอชวนเพื่อนๆ ไปจับสัตว์มาทรมานเล่น บางครั้งก็ไปจับนกแล้วเอาประทัดผูกขามัน เมื่อจุดประทัดแล้วก็ปล่อยมันไป บางครั้งก็เป็นสัตว์อื่นๆ เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก สุนัข กบ คางคก เป็นต้น นับว่าสารพัดสัตว์ที่เธอหามาได้ ก็มักถูกจับมาทรมานในรูปแบบต่างๆ กัน
      
      สัตว์บางตัวจับมาแล้วก็เอามาผูกไว้ ให้มันอดอาหารทรมานจนตาย บางครั้งก็จับใส่ขวดแล้วก็ปิดปากขวดไว้อย่างแน่นหนา สัตว์หลายตัวต้องดิ้นรนอยู่ในขวดอย่างทุรนทุราย เพราะขาดอากาศหายใจ จนในที่สุดก็ตายด้วย ความทุกข์ทรมาน
      
      แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความสุขของสุวิมลทั้งสิ้น เห็นสัตว์ทีไร เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องจับมันมาทำอะไรสักอย่าง เมื่อได้ทรมานมันแล้วก็รู้สึกว่า สนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบาปเป็นกรรมอะไรทั้งสิ้น เธอเชื่อว่า ถึงบาปกรรมจะมีจริง สัตว์พวกนั้นก็คงทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะมันตัวเล็กนิดเดียว ไม่มีแรงที่จะมาทำอย่างที่เธอทำกับมันได้
      
      สิ่งที่สุวิมลคิดทั้งหมด ล้วนแต่เป็นความคิดผิด อันเกิดจากอวิชชาที่ครอบงำเธออยู่อย่างหนาทึบ จริงอยู่...สัตว์เหล่านั้นคงไม่สามารถฟื้นขึ้นมาและไม่สามารถจับสุวิมลใส่ขวดปิดฝาทรมานอย่างที่เธอทำกับมันได้ แต่แน่นอนว่า สัตว์ทุกตัวที่ถูกเธอทรมาน จะต้องผูกความแค้นความอาฆาตกับเธอย่างแน่นอน เพราะใครๆก็ต้องรักชีวิตของตนเอง สัตว์ทุกตัวก็รักชีวิตของมัน

      ด้วยบาปกรรมที่สุวิมลทำไว้จะทำให้เธอได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ในขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมชั่ว เธอย่อมไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
      
      วันหนึ่งสุวิมลจับนกมาได้ตัวหนึ่ง ก็เลยนึกสนุกเช่นที่เคยทำ เธอไปซื้อประทัดสามเหลี่ยมขนาดใหญ่มาหนึ่งอัน และผูกไว้ที่ขานกอย่างที่เธอเคยทำ พร้อมกับเอาเทปใสพันรอบขานกเพื่อไม่ให้ประทัดหล่น เมื่อเธอมั่นใจว่าประทัดแน่นดีแล้ว ก็หาไม้ขีดไฟมาจุดทันที!!
      
      ไฟลุกติดอย่างรวดเร็ว เธอรีบปล่อยนกให้เป็นอิสระ มันจึงรีบบินหนีทันที เพราะกลัวความตาย แต่เมื่อบินไป ได้ไม่ไกลนัก ประทัดก็ระเบิดขึ้นตูมใหญ่!! เสียงดังสนั่น หวั่นไหว ตามมาด้วยขาทั้งสองของมันขาดปลิวร่วงลงมา!! มันเจ็บปวดทรมานมาก ก่อนที่ร่างจะค่อยๆร่วงลงสู่พื้น
      
      สุวิมลเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกตกใจ หรือรู้สึกสงสารนกแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับตบมือโห่ร้องแสดงความดีใจ และสนุกสนานที่ได้แกล้งนก
      
      หนึ่งปีผ่านไป กรรมที่สุวิมลก่อไว้กับนกก็ได้ย้อนกลับ มาหาเธอโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลย
      
      วันหนึ่งเธอนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อน เพื่อจะไปเที่ยวงานกลางคืน ความที่พวกเธอเป็นวัยรุ่น กำลังคึกคะนอง จึงขับรถซิ่งด้วยความสะใจ โดยไม่กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
      
      ช่วงเวลาที่เธอกำลังสนุกสนานกับความเร็วของรถอยู่นั้น จู่ๆรถก็ตกหลุม ทำให้เสียหลักในการทรงตัว ตกลงข้างถนน คนขับก็ลอยกระเด็นไปด้านหนึ่งจนสลบไป แต่สุวิมลลอยกระเด็นติดไปกับรถ เมื่อรถกระแทกลงพื้น ก็ระเบิดขึ้นมาอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว!! และท่ามกลางความมืดนั้น ได้ยินแต่เสียงร้องของสุวิมลเรียกให้คนช่วย
      
      เธอนอนร้องอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง ขณะนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่า ขาข้างซ้ายของเธอได้ขาดไปแล้ว น้ำตาจึงไหล ออกมาไม่หยุด ด้วยความเจ็บปวดที่ขาขาด และเสียเลือดมาก สุวิมลร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
      
      เธอเล่าให้ฟังว่า ขณะที่รอให้คนมาช่วยอยู่นั้น ในจิตสำนึกก็หวนระลึกถึงนกที่ตนเองผูกประทัดไว้ จนทำให้มันขาขาด สุวิมลไม่รู้ว่าทำไมต้องนึกถึงมัน แต่จิตของเธอมันนึกขึ้นมาเอง ตอนนี้เธอได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดแล้วว่ามันเป็นอย่างไร ผลของกรรมได้สนองเธอแล้วอย่างแน่นอน เธอคิดได้อย่างเดียวว่า มันเป็นผลกรรมที่เธอทำไว้กับนกเป็นแน่ เมื่อตั้งสติได้เช่นนั้น เธอก็คิดขึ้นมาในใจว่า ขออย่าเพิ่งให้ตนเองตายตอนนี้ หากไม่ตายจะทำบุญไปให้นกตัวนั้น
      
      เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดก็มีคนผ่านมาและช่วยนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลทันที เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันกว่าจะกลับบ้านได้ ทุกขณะที่อยู่โรงพยาบาล เธอก็ยังนึกถึงวันที่เธอจุดประทัดแล้วนกตัวนั้นหล่นลงมาขาขาด และตั้งใจว่าหากกลับบ้านวันใดจะต้องรีบทำบุญให้กับนกตัวนั้นทันที
      
      เมื่อถึงวันที่ได้กลับบ้าน เธอจึงบอกพ่อแม่ให้เตรียมสังฆทาน อาหารคาวหวาน และให้พาเธอไปทำบุญที่วัด เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับนกตามที่เธอตั้งใจไว้ และนอกจากนี้ เธอยังได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์อื่นๆ ที่เธอเคยนำมาทรมานทุกตัว ทำให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้น แผลที่ขาก็ค่อยๆหาย แต่ขาที่ขาดไปแล้วนั้น หมอไม่สามารถต่อได้ เธอต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
      
      นี่แหละคืออำนาจของกฎแห่งกรรม ที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ให้ผลตามที่แต่ละคนได้สร้างเอาไว้ คนอื่นจะมารับแทนกันก็ไม่ได้ ผู้ที่ต้องการประสบแต่ความโชคดีก็จงรู้จักเลือกที่จะสร้างแต่กรรมดี เราสามารถทำกรรมดีได้ทุกวันทุกที่ทุกเวลา เพียงตั้งใจงดเว้นจากกรรมชั่ว รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ให้ทาน และปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นประจำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ชีวิตของเราประสบแต่ความโชคดีตลอดไป

ยิ้มกว้างๆ
11  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / คุณค่าของกาลเวลา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 04:55:41 PM


      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ ติฯ
      
      กาลเวลาเป็นของมิใช่จะให้ประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้มีปัญญาสนใจในธรรมปฏิบัติ รีบเร่งฝึกหัดใจของตนๆ ให้ทันกับกาลเวลาอีกด้วย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลาทั้งนั้น เช่น ดินฟ้าอากาศ ฤดู ปี เดือน ต้นไม้ ผลไม้ และธุระการงานที่สัตว์โลกทำอยู่ แม้แต่ความเกิด ความแก่ และความตาย ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นอยู่ตามหน้าที่ของเขาก็ตาม แต่ต้องอยู่กับกาลเวลา ถ้าหากกาลเวลาไม่ปรากฏแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ก็จะไม่ปรากฏเลย จะมีแต่สูญเรื่อยไปเท่านั้น
      
      กาลเวลาได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกนี้มิใช่น้อย ชาวกสิกรก็ต้องอาศัยวัสสานฤดู ปลูกพืชพันธุ์ในไร่นาของตนๆ เมื่อฝนไม่ตกก็พากันเฝ้าบ่นว่าเมื่อไรหนอพระพิรุณจะประทานน้ำฝนมาให้ ใจก็ละห้อย ตาก็จับจ้องดูท้องฟ้า เมื่อฝนตกลงมาให้ต่างก็พากันชื่นใจระเริงด้วยความเบิกบาน แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของหาวิญญาณมิได้ ก็อดที่จะแสดงความดีใจด้วยอาการสดชื่นไม่ได้ ต่างก็พากันผลิดอกออกประชันขันแข่งกัน ชาวกสิกรตื่นดึกลุกเช้าเฝ้าแต่จะประกอบการงานของตนๆ ตากแดด กรำฝน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเย็นร้อนอนาทร
      
      ชาวพ่อค้าวาณิชนักธุรกิจ ก็คอยหาโอกาสแต่ฤดูแล้ง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมและขนส่ง เมื่อแล้งแล้วต่างก็พากันจัดแจงเตรียมสินค้าไม่ว่าทางน้ำและทางบก
      
      ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในบุญกุศล ก็พากันมีจิตจดจ่อเฉพาะเช่นเดียวกันว่า เมื่อไรหนอจะถึงวันมาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหะ เวียนเทียนประทักษิณนอบ น้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อไรหนอจะถึงวันเข้าพรรษา-ออกพรรษา-เทโวโรหนะตักบาตรประจำปี
      
      วันทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เนื่องด้วยกาลเวลา ทั้งนั้น และเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเสียด้วย เมื่อถึงวันเวลาเช่นนั้นเข้าแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายไม่ว่าหญิงชายน้อยใหญ่ แม้จะฐานะเช่นไร อยู่กินกันเช่นไรก็ตาม จำต้องสละหน้าที่การงานของตน เข้าวัดทำบุญตักบาตร อย่างน้อยวันหนึ่ง หากคนใดไม่ได้เข้าวัดทำบุญสังสรรค์กับมิตรในวันดังกล่าวแล้ว ถือว่าเป็นคนอาภัพ
      
      ส่วนนักภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นอายุสังขารของตนเป็นของน้อยนิดเดียว เปรียบเหมือนกับน้ำตกอยู่บนใบบัว เมื่อถูกแสงแดดแล้วพลันที่จะเหือด แห้งอย่างไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดความสลดสังเวช ปลงปัญญาสู่พระไตรลักษณญาณ
      
      กาลเวลาจึงว่าเป็นของดีมีประโยชน์แก่คนทุกๆ ชั้นในโลกนี้และโลกหน้า ดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่า
      
      อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ
      แปลว่า โอ้ชีวิตเป็นของน้อย ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที เหมือนกับน้ำในรอยโค เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวันฉะนั้นฯ
      
      โดยอธิบายว่า ชีวิตอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่นๆ เช่นเต่าและปลาในทะเลเป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมากๆ เป็นร้อยๆ ปี ตั๊กแตน แมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗-๑๐ วันเขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราเห็น ว่าเขามีอายุน้อยเดียว
      
      ผู้มีอัปมาทธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณาถึงอายุของน้อย พลันหมดสิ้นไปๆใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จโดยเร็วพลัน กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกรให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้นฯ
      
      ทาน การสละวัตถุสิ่งของของตนที่มีอยู่ให้แก่บุคคลอื่น นอกจากผู้ให้จะได้ความอิ่มใจ เพราะความดีของตน แล้ว ผู้รับยังได้บริโภคใช้สอยวัตถุสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนอีกด้วย นับว่าไม่มีเสียผลทั้งสองฝ่าย แต่กาลเวลาที่สละทิ้งชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายแล้วไม่เป็นผลแก่ทั้งสองฝ่าย คือกาลเวลาก็หมดไป ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสูญไป ยังเหลือแต่ความคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งระทมทุกข์ อันใครๆไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น นอกจากบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบาย น้อมนำเอาความเสื่อมสิ้นไปแห่งชีวิตนั้นเข้ามาพิจารณา ให้เห็นสภาพสังขารเป็นของไม่เที่ยง จนให้เกิดปัญญาสลดสังเวช อันเป็นเหตุจะให้เบื่อหน่าย คลายเสียจากความยึดมั่นในสังขารทั้งปวง
      
      ฉะนั้น ทาน การสละให้ปันสิ่งของของตนที่หามาได้ในทางที่ชอบให้แก่ผู้อื่น ในเมื่อกาลเวลากำลังคร่าเอาชีวิตของเราไปอยู่ จึงเป็นของควรทำเพื่อชดใช้ชีวิตที่หมดไปนั้นให้ได้ทุน (คือบุญ)กลับคืนมา
      
      การรักษาศีล ก็เป็นทานอันหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน นอกจากจะเป็นการจาคะสละความชั่วของตนแล้ว ยังเป็นการให้อภัยแก่สัตว์ที่เราจะต้องฆ่า และสิ่งของที่เราจะต้องขโมยเขาเป็นต้นอีกด้วย นี้ก็เป็นการทำความดี เพื่อชดใช้ชีวิตของเราที่กาลเวลาคร่าไปอีกด้วย
      
      ผู้กระทำชั่วพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีหนี้ติดตัว ผู้มีหนี้ติดตัวย่อมได้รับความทุกข์เดือดร้อน ฉะนั้น บาปกรรมชั่วเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ แต่ผู้ใดทำลงไปแล้วแม้คนอื่นทั้งโลกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่ความชั่วที่ตนกระทำลงไป แล้วนั่นแล เป็นเจ้าของมาทวงเอาหนี้ (คือความเดือดร้อน ภายหลัง) อยู่เสมอ ยิ่งซ้ำร้ายกว่าหนี้ที่มีเจ้าของเสียอีก
      
      เป็นที่น่าเสียดาย บางคนผู้ประมาทแล้วด้วยยศด้วยลาภก็ตาม ไม่ได้นึกคิดถึงชีวิตอัตภาพของตน กลัวอย่างเดียวแต่กาลเวลาจะผ่านพ้นไป แล้วตัวของเขาเองจะไม่ได้ทำความชั่ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดีแล้ว เช่น สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ฯลฯ เป็นต้น นำเอาชีวิตของตนที่ยังเหลืออยู่นั้น ไปทุ่มเทลงในหลุมแห่งอบายมุขหมดบุญกรรมนำส่งมาให้ได้ดิบได้ดี มีสมบัติอัครฐานอย่างมโหฬาร เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดสน แต่เห็นความพร้อมมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ไป สู้ความชั่วอบายมุขไม่ได้

ยิ้มกว้างๆ
12  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / ทำอย่างไรจะพ้นเคราะห์ได้จริง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2012, 06:55:17 AM


"คนฉลาดทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส แต่คนประมาท ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์”
      
      นี่เป็นคติตามหลักพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ว่า เมื่อเราประสบสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ต้องหาประโยชน์จากมันให้ได้ แม้แต่เป็นเคราะห์ก็ต้องทำให้เป็นโอกาส หรือหาประโยชน์จากเคราะห์นั้นให้ได้
      
      คตินี้ถ้าเป็นคนไม่ประมาทและเป็นคนฉลาดก็สามารถทำได้ อย่างน้อยก็ถือเป็นโอกาสที่จะกระตุ้นเตือนให้คนของเราได้สติ แล้วก็มีความเข้มแข็ง แต่ถ้ามัวคร่ำครวญโอดโอยตีโพยตีพายกันอยู่ ก็เสียเวลาเปล่าๆ และเป็นการซ้ำเติมตัวเองด้วย...
      
      คนไทยเรานี้ เวลาเกิดสถานการณ์ต่างๆที่เป็นเหตุร้าย ก็จะมีคนหลายระดับ เราจะต้องเห็นใจกัน คนที่ยังมีจิตใจอ่อนแอ เราก็ให้โอกาสเขาบ้าง การโอดโอยโวยวายคร่ำครวญจะมีบ้าง เราก็เห็นใจและรู้ทัน อย่าไปนึกอะไรมาก ฟังเขาไป เขาอาจจะด่าจะว่า ก็ฟังได้ ยิ่งถ้าเป็นผู้นำผู้บริหาร ก็ยิ่งต้องอดทน ต้องให้เขา ระบาย ไม่ไปต่อล้อต่อเถียง แล้วก็ปลอบโยนให้สติ เขาดีๆ ตามเหตุตามผล แม้แต่เทวดาก็ยังต้องยอมให้โอกาสคน อย่างที่ว่าฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า
      
      ขอแต่ว่า เมื่อโอดครวญกันแล้วก็อย่าไปจบไปหยุด อยู่แค่นั้น ต้องผ่านขั้นนี้ไป
      
      พอระบายอารมณ์แล้ว ก็ตั้งสติ สงบ แล้วรีบหันมา ทำการแก้ไขด้วยปัญญา แล้วเอาเหตุการณ์ร้ายหรือปัญหามาใช้ให้เป็นประโยชน์
      
      ปัญหาจะต้องเป็นเวทีพัฒนาปัญญา คือปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราใช้ความคิดพิจารณาค้นหาเหตุปัจจัยและหาทางแก้ไข เราจะพลิกปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอักษรตัวเดียวจาก “ปัญหา” ก็เป็น “ปัญญา” ไป
      
      คนที่เก่งนั้นเขาเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา และใช้ปัญหาเป็นเวทีพัฒนาปัญญา แล้วก็เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโอกาส
      
      เวลาทุกข์ยากนี่เป็นประโยชน์มาก เวลาสุขสำราญ ต่างหากที่มักทำให้มัวเมาประมาท
      
      พระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าความรุ่งเรืองความสำเร็จเกิดขึ้น อย่ามัวเมา ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เอามันเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นไป
      
      คราวเคราะห์มัวครวญ ยามโชคก็เหลิง เอาแต่หนีเคราะห์และคอยโชค คนอย่างนี้เคราะห์เรียกหา แต่คนเป็นมหาบุรุษได้ ด้วยการผันเคราะห์ให้เป็นโชค และผันโชคให้แผ่ประโยชน์สุข
      
      ในด้านนี้ สังคมไทยเราอาจจะพลาดไปแล้ว เมื่อตอนเราฟุ้งเฟื่อง สบาย มีพรั่งพร้อม แทนที่เราจะเอามันเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ เรากลับไปหลงระเริง มัวเมา ประมาท นี่ท่านเรียกว่า ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์ แทนที่จะใช้โอกาสนั้นในการสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นไป
      
      ทีนี้ถึงเวลานี้เราแย่ลงไปเป็นเคราะห์แล้ว ถ้ามัวไป ตีอกชกหัว เศร้าโศก โอดครวญ ก็กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง เคราะห์หนักเข้าไปอีก
      
      ถ้ามีสติปัญญา ตอนนี้ได้สติ แล้วใช้ปัญญา ก็ทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส เพราะคราวทุกข์ยากเดือดร้อนนี่แหละ มักเป็นเวลาที่ดีที่สุด คนที่จะเจริญก้าวหน้าได้โดยมากต้องเจอปัญหา จะได้ฝึกตัวเองให้เข้มแข็ง แล้วเคราะห์นี่ก็ช่วยให้ทั้งสังคมทั้งชีวิตคนประสบความสำเร็จมามากมาย
      
      จากการเจอเคราะห์เจอปัญหาแล้ว ถ้าเราตั้งตัวดี มีท่าทีถูกต้อง เราก็จะมีความเข้มแข็ง พยายามต่อสู้ดิ้นรนขวนขวาย แล้วเราจะได้พัฒนาความสามารถ เราจะได้การฝึกฝนตน ฝึกปรือตัวเอง แล้วได้ปัญญาความสามารถมากขึ้นๆ แล้วชีวิตและสังคมก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป
      
      ขอย้ำคติที่ว่าไว้ข้างต้นอีกครั้งหนึ่งว่า
      
      “คนฉลาดทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส แต่คนประมาท ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์”
      
      เป็นอันว่า ตอนนี้มีเคราะห์แล้ว ยอมให้มีความเศร้าโศกเสียใจโอดครวญกันชั่วระยะสั้นๆ พอระบาย เสร็จแล้วก็ให้รีบตั้งสติ
      ต่อไปนี้ก็รีบมาดีใจว่าเจอเคราะห์แล้ว ทำมันให้เป็นโอกาส ผันเคราะห์ให้เป็นโอกาส แล้วเราก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป ไม่ต้องกลัว

      
      ฉะนั้น อย่าไปหมดกำลังใจ พระพุทธศาสนาไม่สอนให้เราท้อแท้ ไม่สอนให้เราท้อถอยอ่อนแอ เมื่อเจอปัญหา เจอเคราะห์กรรม เจอภัยอันตรายแล้ว ให้เข้มแข็ง แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการฝึกปรือตัวเองให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
      
      แล้วเราจะมีความชำนิชำนาญยิ่งขึ้นในการที่จะแก้ปัญหา ในการที่จะผจญเคราะห์กรรมภัยอันตรายให้ผ่่านก้าวไปสู่ความสำเร็จในการสร้างสรรค์พัฒนาได้ต่อไป..

ยิ้มกว้างๆ
13  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / 'กุ้ง' เจ้ากรรมนายเวร เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 08:42:46 PM


ความไม่รู้เป็นปัญหาใหญ่ของชีวิตที่ทำให้หลายคนหลงผิดทำความชั่วต่างๆ นานา โดยไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นกับตน ความมืดของอวิชชานี้มันมืดยิ่งกว่าความมืดใดๆในโลก เพราะมันทำให้เรามองไม่เห็นโทษภัยที่จะเกิดขึ้นกับตน และมักทำให้เรามองเห็นสิ่งผิดเป็นสิ่งถูก
      
      เรื่องราวต่อไปนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งของเด็กหญิงผู้ถูกความมืดครอบงำ ทำให้เธอกระทำสิ่งผิด โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข ความสะใจของตนเอง แต่ที่สุดแล้วมันได้กลับกลายเป็นความทุกข์ให้กับเธออย่างยาวนาน
      
      นางสาวธัญญารัตน์ เป็นคนจังหวัดสมุทรสาคร บ้านของเธออยู่ริมคลอง ซึ่งมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ บ้านของเธอมีอาชีพทำนากุ้ง เธอจึงอยู่กับนากุ้งมาตั้งแต่เด็กๆ เห็นกุ้งเป็นของเล่น หากต้องการจะเล่นอะไรก็เอาชีวิตของกุ้งมาเล่น โดยไม่นึกเลยว่ากุ้งเหล่านั้นจะอยากเล่นกับเธอหรือไม่
      
      สิ่งที่ธัญญารัตน์ชอบมากที่สุดคือการทรมานกุ้ง ด้วยการจับตัวเป็นๆมาใส่ไว้ในช่องฟรีซ(Freeze) หรือช่องแช่แข็งของตู้เย็น เพื่อทรมานให้มันแข็งตาย เพราะหลังจากแช่กุ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เธอก็จะไปเปิดตู้เย็นดู และเห็นกุ้งดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานจากอากาศที่เย็นจัด ธัญญารัตน์จำภาพนั้นได้ติดตา วันไหนเห็นกุ้งทรมานมาก หญิงสาวก็ยิ่งชอบใจ และหลังจากทรมานแล้ว เธอก็เอาไปทิ้ง!!
      
      ด้วยความเป็นเด็กของธัญญารัตน์ เธอไม่เคยนึกถึงบาปบุญคุณโทษแต่ประการใด พ่อแม่ของเธอก็ไม่ทราบว่าเธอได้กระทำกรรมแบบนั้น เธอจะเล่นอย่างนี้เป็นประจำ บางครั้งก็ชวนเพื่อนมาเล่นด้วย กุ้งที่ถูกเธอทรมาน มาหลายปีมีทุกขนาด หากรวมๆแล้ว ก็คงนับร้อยๆตัว
      
      มีเพื่อนบางคนของเธอเตือนว่า การทรมานสัตว์เช่นนี้เป็นบาป ผลกรรมนั้นอาจจะย้อนกลับมาหาตัวเธอก็ได้ แต่ตอนนั้นธัญญารัตน์ไม่เคยสนใจและไม่กลัว เพราะว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นกุ้งตัวไหนจะสามารถจับเธอขังในช่องแช่แข็งอย่างนี้ได้ นั่นคือความคิดของธัญญารัตน์ ตอนนั้น เธอคิดว่ากรรมและผลของกรรมคือการกระทำต่อกันอย่างตรงไปตรงมา หากเธอจับกุ้งแช่ช่องฟรีซ กุ้ง ก็ต้องจับเธอแช่ช่องฟรีซเช่นเดียวกัน
      
      บางครั้งที่พ่อแม่เธอเห็นลูกสาวเล่นอย่างนั้น ก็ว่ากล่าวสั่งสอนไม่ให้ทำ เพราะมันไม่ดี แต่ธัญญารัตน์ก็ไม่ได้ เลิกเล่นแต่ประการใด ยังคงแอบจับกุ้งมาแช่ตู้เย็นอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม เธอรู้สึกว่าเห็นสัตว์ทรมานแล้วสนุกดี
      
      กรรมที่ธัญญารัตน์กระทำไว้นั้นมันค่อยๆ คืบคลานตามหลังเธอมาอย่างไม่รู้ตัว เธอเองไม่เคยคิดด้วยซ้ำไปว่ากรรมนั้นจะตามมาให้ผล เธอคิดแต่เพียงว่า กุ้งเหล่านั้นก็ตายไปหมดแล้ว มันคงลุกมาทำอะไรเธอไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่า กุ้งจำนวนหลายร้อยตัวที่เธอจับมันแช่ช่องฟรีซจนตายนั้น อาจจะมีความแค้นอาฆาตต่อเธออย่างหนักก็เป็นได้
      
      แล้วสิ่งที่เธอไม่เคยคิดไม่เคยคาดฝันก็เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อย ตอนแรกๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ บ่อยครั้งที่เธอหายใจไม่โล่ง ไม่สะดวกและคัดจมูกเป็นประจำ บางครั้งอาการกำเริบหนัก กว่าจะหายใจกลับมาเป็นปกติได้ก็ทุกข์ทรมานแทบตาย!!
      
      หญิงสาวได้ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเธอเป็นโรคภูมิแพ้ และเป็นหอบหืด ในขณะนั้นเธอคิดว่า โรคแบบนี้คงไม่หนักหนาอะไร รักษาสักพักก็หาย เพราะเป็นโรคที่ไม่น่ากลัว
      แต่สิ่งที่ธัญญารัตน์คิดนั้นแทบจะตรงกันข้าม เพราะทุกครั้งที่เธอเป็นภูมิแพ้ก็ดี เป็นโรคหอบหืดก็ดี เธอรู้สึกทรมานมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เธอทุกข์ทรมาน เพราะหายใจไม่ค่อยออก ลมหายใจแต่ละเฮือกนั้นมีค่าสำหรับเธอมาก หากเธอหายใจไม่ได้เพียงไม่กี่วินาที นั่นก็หมายความถึงชีวิตของเธอเลยทีเดียว
      
      ในบางช่วงเวลาจิตของเธอนึกไปถึงกุ้งที่เคยจับมาทรมานในช่องฟรีซ มันมีสภาพไม่ต่างจากเธอตอนที่หายใจไม่ค่อยออก มีแต่ความทุกข์ทรมานตลอดเวลา
      
      และเมื่อเห็นภาพกุ้งเหล่านั้นมาปรากฏในใจของเธอบ่อยๆ เธอจึงคิดว่า สิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่นี้ คงจะเป็นผลแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้ตอนเป็นเด็กนั่นเอง เธอทรมานอย่างไร กุ้งก็คงจะทรมานเช่นเดียวกัน กฎแห่งกรรมจึงค่อยๆ ประจักษ์ในใจของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
      
      ธัญญารัตน์ประสบกับความทุกข์ทรมานมาหลายปี จนกระทั่งเธอเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ความทรมานจึงค่อยๆทุเลาลง แต่ก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว และสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือการทำงานของกฎแห่งกรรม ที่เกิดขึ้นกับเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ ก็เป็นสิ่งที่เธอเคยกระทำไว้นั่นเอง
      
      ทุกวันนี้ธัญญารัตน์จึงพยายามทำบุญทุกวิถีทาง เพื่อจะทำให้อำนาจของกรรมไม่ดีที่เธอเคยก่อไว้นั้น ได้เบาบางลงบ้าง และทุกครั้งที่เธอทำบุญก็จะอุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับพวกกุ้งที่เธอเคยจับมันมาทรมานจนตาย สิ่งนี้จึงทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
      
      กรรมชั่วไม่เคยทำให้ใครมีความสุข จงหลีกเลี่ยงกรรมชั่วเสียตั้งแต่วินาทีนี้ เดียวนี้ ก่อนที่กรรมเหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง ผลกรรมที่ธัญญารัตน์ได้ประสบอยู่ขณะนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ได้รับผลจากกรรมชั่วที่ตนเองเคยกระทำไว้ กรรมและผลแห่งกรรม จึงสามารถยืนยันได้จากประสบการณ์ของคนเหล่านั้นว่าเป็นจริงอย่างแน่นอน
      
      ไม่มีใครที่จะหลีกหนีกฎแห่งกรรมเหล่านี้ได้ ผู้ทำกรรมอย่างใดไว้ ก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น หากเราต้องการมีความสุข มีความโชคดี ก็จงหมั่นทำกรรมดีตลอดไป


 ยิงฟันยิ้ม
14  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / ทำอย่างไรจะพ้นเคราะห์ได้จริง เมื่อ: มกราคม 12, 2012, 09:42:17 PM


"คนฉลาดทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส แต่คนประมาท ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์”
      
      นี่เป็นคติตามหลักพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ว่า เมื่อเราประสบสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ต้องหาประโยชน์จากมันให้ได้ แม้แต่เป็นเคราะห์ก็ต้องทำให้เป็นโอกาส หรือหาประโยชน์จากเคราะห์นั้นให้ได้
      
      คตินี้ถ้าเป็นคนไม่ประมาทและเป็นคนฉลาดก็สามารถทำได้ อย่างน้อยก็ถือเป็นโอกาสที่จะกระตุ้นเตือนให้คนของเราได้สติ แล้วก็มีความเข้มแข็ง แต่ถ้ามัวคร่ำครวญโอดโอยตีโพยตีพายกันอยู่ ก็เสียเวลาเปล่าๆ และเป็นการซ้ำเติมตัวเองด้วย...
      
      คนไทยเรานี้ เวลาเกิดสถานการณ์ต่างๆที่เป็นเหตุร้าย ก็จะมีคนหลายระดับ เราจะต้องเห็นใจกัน คนที่ยังมีจิตใจอ่อนแอ เราก็ให้โอกาสเขาบ้าง การโอดโอยโวยวายคร่ำครวญจะมีบ้าง เราก็เห็นใจและรู้ทัน อย่าไปนึกอะไรมาก ฟังเขาไป เขาอาจจะด่าจะว่า ก็ฟังได้ ยิ่งถ้าเป็นผู้นำผู้บริหาร ก็ยิ่งต้องอดทน ต้องให้เขา ระบาย ไม่ไปต่อล้อต่อเถียง แล้วก็ปลอบโยนให้สติ เขาดีๆ ตามเหตุตามผล แม้แต่เทวดาก็ยังต้องยอมให้โอกาสคน อย่างที่ว่าฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า
      
      ขอแต่ว่า เมื่อโอดครวญกันแล้วก็อย่าไปจบไปหยุด อยู่แค่นั้น ต้องผ่านขั้นนี้ไป
      
      พอระบายอารมณ์แล้ว ก็ตั้งสติ สงบ แล้วรีบหันมา ทำการแก้ไขด้วยปัญญา แล้วเอาเหตุการณ์ร้ายหรือปัญหามาใช้ให้เป็นประโยชน์
      
      ปัญหาจะต้องเป็นเวทีพัฒนาปัญญา คือปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราใช้ความคิดพิจารณาค้นหาเหตุปัจจัยและหาทางแก้ไข เราจะพลิกปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอักษรตัวเดียวจาก “ปัญหา” ก็เป็น “ปัญญา” ไป
      
      คนที่เก่งนั้นเขาเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา และใช้ปัญหาเป็นเวทีพัฒนาปัญญา แล้วก็เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโอกาส
      
      เวลาทุกข์ยากนี่เป็นประโยชน์มาก เวลาสุขสำราญ ต่างหากที่มักทำให้มัวเมาประมาท
      
      พระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าความรุ่งเรืองความสำเร็จเกิดขึ้น อย่ามัวเมา ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เอามันเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นไป
      
      คราวเคราะห์มัวครวญ ยามโชคก็เหลิง เอาแต่หนีเคราะห์และคอยโชค คนอย่างนี้เคราะห์เรียกหา แต่คนเป็นมหาบุรุษได้ ด้วยการผันเคราะห์ให้เป็นโชค และผันโชคให้แผ่ประโยชน์สุข
      
      ในด้านนี้ สังคมไทยเราอาจจะพลาดไปแล้ว เมื่อตอนเราฟุ้งเฟื่อง สบาย มีพรั่งพร้อม แทนที่เราจะเอามันเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ เรากลับไปหลงระเริง มัวเมา ประมาท นี่ท่านเรียกว่า ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์ แทนที่จะใช้โอกาสนั้นในการสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นไป
      
      ทีนี้ถึงเวลานี้เราแย่ลงไปเป็นเคราะห์แล้ว ถ้ามัวไป ตีอกชกหัว เศร้าโศก โอดครวญ ก็กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง เคราะห์หนักเข้าไปอีก
      
      ถ้ามีสติปัญญา ตอนนี้ได้สติ แล้วใช้ปัญญา ก็ทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส เพราะคราวทุกข์ยากเดือดร้อนนี่แหละ มักเป็นเวลาที่ดีที่สุด คนที่จะเจริญก้าวหน้าได้โดยมากต้องเจอปัญหา จะได้ฝึกตัวเองให้เข้มแข็ง แล้วเคราะห์นี่ก็ช่วยให้ทั้งสังคมทั้งชีวิตคนประสบความสำเร็จมามากมาย
      
      จากการเจอเคราะห์เจอปัญหาแล้ว ถ้าเราตั้งตัวดี มีท่าทีถูกต้อง เราก็จะมีความเข้มแข็ง พยายามต่อสู้ดิ้นรนขวนขวาย แล้วเราจะได้พัฒนาความสามารถ เราจะได้การฝึกฝนตน ฝึกปรือตัวเอง แล้วได้ปัญญาความสามารถมากขึ้นๆ แล้วชีวิตและสังคมก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป
      
      ขอย้ำคติที่ว่าไว้ข้างต้นอีกครั้งหนึ่งว่า
      
      “คนฉลาดทำเคราะห์ให้เป็นโอกาส แต่คนประมาท ทำโอกาสให้เป็นเคราะห์”
      
      เป็นอันว่า ตอนนี้มีเคราะห์แล้ว ยอมให้มีความเศร้าโศกเสียใจโอดครวญกันชั่วระยะสั้นๆ พอระบาย เสร็จแล้วก็ให้รีบตั้งสติ ต่อไปนี้ก็รีบมาดีใจว่าเจอเคราะห์แล้ว ทำมันให้เป็นโอกาส ผันเคราะห์ให้เป็นโอกาส แล้วเราก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป ไม่ต้องกลัว
      
      ฉะนั้น อย่าไปหมดกำลังใจ พระพุทธศาสนาไม่สอนให้เราท้อแท้ ไม่สอนให้เราท้อถอยอ่อนแอ เมื่อเจอปัญหา เจอเคราะห์กรรม เจอภัยอันตรายแล้ว ให้เข้มแข็ง แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการฝึกปรือตัวเองให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
      
      แล้วเราจะมีความชำนิชำนาญยิ่งขึ้นในการที่จะแก้ปัญหา ในการที่จะผจญเคราะห์กรรมภัยอันตรายให้ผ่่านก้าวไปสู่ความสำเร็จในการสร้างสรรค์พัฒนาได้ต่อไป..

 ยิงฟันยิ้ม
15  ไม้ดอกไม้ประดับ / บอร์ดธรรมะ / 4 หลักธรรมเพื่อการอยู่ดีกินดี มีหลั เมื่อ: มกราคม 07, 2012, 02:51:39 PM


การทำงานด้วยความเพียรนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอรรถหรือความหมายขยายความแห่งสัมมาวายามะ ความว่า “ให้ปลูกฝังความพอใจในการงานนั้น พยายามปรารภความเพียรที่สืบเนื่องไปเรื่อยๆ ให้รักษาคุณภาพของจิตที่ก้าวไปในจุดนั้นๆ ไว้ให้ดี พร้อมกับพยายามทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
      
      ท่านบุรพาจารย์โบราณบัณฑิตได้แสดงลักษณะของคนที่ทำงานด้วยความเพียรไว้ว่า “คนที่ได้ชื่อว่ามีความเพียรหรือขยันนั้นจะต้องทำงานในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ อนิกขิตตธุรตา ทำงานอันอยู่ในความรับผิดชอบให้สำเร็จๆ ไป ไม่ทอดธุระ อนิพพินทตา ทำงานที่แทรกซ้อน เข้ามาให้สำเร็จ โดยไม่ชักช้า อสังครตา ทำการงานนั้นๆ ด้วยความยินดี เอาจริงเอาจังในงานนั้นๆ จนสำเร็จ”
      
      นอกจากนี้ หลักพระพุทธศาสนายังแสดงว่า “ผู้ทำงาน จะต้องไม่ปล่อยให้งานที่ทำคั่งค้างอากูลอย่างที่พูดกันว่า ดินพอกหางหมู” เพราะงานในลักษณะนี้ไม่เป็นมงคลสำหรับผู้กระทำแน่นอน ในทำนองเดียวกัน หากทำในทางตรงกันข้ามย่อมเป็นมงคลสำหรับบุคคลนั้น ดังมีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในมงคลสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕) ว่า “อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การงานที่ไม่คั่งค้างอากูล นี่ก็เป็นอุดมมงคล”
      
      เนื่องจากความเพียรพยายามเป็นได้ทั้งในทางที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ดังนั้น การทำความเพียรในทางพระพุทธศาสนาทุกระดับคำสอน จึงต้องเป็นไปในทางที่ชอบธรรม คือไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม หลักการใช้ความเพียรพยายามในการประกอบอาชีพทำธุรกิจการงานต่างๆ ในทรรศนะทางพระพุทธศาสนาจึงเน้นไปที่ประโยชน์ตนและผู้อื่นเป็นสำคัญ แม้ว่าบางครั้งประโยชน์สำหรับผู้อื่นจะไม่เด่นชัดนักก็ตาม แต่กระนั้นต้องไม่เป็นการทำลายผลประโยชน์ของผู้อื่น หลักคำสอนในลักษณะเช่นนี้มีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เช่น “บุคคลพึงได้ประโยชน์ในที่ใดด้วยวิธีใดๆ พึงบากบั่นในที่นั้นด้วยวิธีนั้น” ซึ่งเป็นการเน้นให้บุคคลใช้ความเพียรพยายามเพื่อให้เกิดผลที่ตนต้องการ หลังจากได้พิจารณาเห็นแล้วว่า การกระทำงานใดด้วยวิธีใดจึงเกิดประโยชน์ ก็ให้ทำการงานเหล่านั้นด้วยความบากบั่นพยายามอย่างจริงจัง ดังมีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในคัมภีร์ชาดกว่า “ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นโดยชอบแก่คนที่ทำงานโดยไม่เบื่อหน่าย” ซึ่งตามปกติแล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนขยันมีความเพียรนั้น จะต้องเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยกาลเวลาที่จะทำประโยชน์ให้ผ่านพ้นไป ข้อนี้เป็นการดำเนินตามหลักคำสอนที่แสดงไว้ในคัมภีร์ชาดกว่า “บุรุษใดเมื่อหนาว ร้อน ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานมีอยู่ ก็ครอบงำความหิวกระหายทั้งหมด ประกอบการงานทั้งหลายมิได้ขาด ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสียไป”
      
      การใช้ความเพียรพยายามประกอบการงานที่ทางพระพุทธศาสนาสรรเสริญ คือ ต้องรู้จักกาลและสถานที่ด้วยว่า กาลไหนควรทำอะไร ทำอย่างไร ควรปฏิบัติต่อสถานที่นั้นๆ อย่างไร คือจะต้องทำงานให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ เป็นต้น ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบปัญหาที่อาฬวกยักษ์กราบทูลถึงวิธีแสวงหาทรัพย์ได้ว่า “คนที่ทำงานได้เหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระ เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้แน่นอน”
      
      คนที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด ทำงานได้เหมาะเจาะดังกล่าวนั้น อาจจะเริ่มต้นด้วยการไม่มีอะไรมากนักก็ตาม แต่อาจสามารถก่อร่างสร้างตัวตั้งตนเป็นเศรษฐีมีหลักฐานมั่นคงได้ ความข้อนี้มีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในขุททกนิกายชาดก เอกกนิบาต (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗) ว่า “คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้แม้ด้วยต้นทุน เพียงเล็กน้อย ดุจคนก่อไฟกองน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น” การตั้งตนหรือการตั้งตัวในที่นี้ หมายถึงการก่อร่างสร้างตัวจากการมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยจนมีทรัพย์สินมาก หรือจากความยากจนสู่ความมั่งคั่ง เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล ผู้ที่สามารถตั้งตนได้ในลักษณะนี้ย่อมเป็นที่ยกย่องนับถือของคนทั่วไป
      
      แบบอย่างของการตั้งตัวได้ในลักษณะนี้ ท่านเล่าไว้ในคัมภีร์อรรถกถาชาดก โดยสรุปความว่า มีชายรับใช้ของเศรษฐีคนหนึ่งได้เก็บเอาหนูตายซึ่งแทบจะไม่มีราคาอะไร นำไปขายเป็นอาหารแมว ได้เงินมาเพียงกากณิกหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยเงินที่มีค่าต่ำสุดในสมัยนั้น แต่ด้วยเงินเพียงเท่านั้น เขาได้นำไปทำทุนประกอบกิจการจนภายหลังได้เป็นพ่อค้าใหญ่อยู่ที่ท่าเรือ และมีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี นี้เป็นแบบอย่างในครั้งโบราณนานมาแล้ว คนที่ตั้งตัวได้ในลักษณะนี้ ในปัจจุบันก็มีปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป เช่น ในประเทศไทย ก็มีคนจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทย สามารถตั้งตัวเป็นเศรษฐีหลายราย
      
      การตั้งตนก็เหมือนกับการก่อกองไฟ กล่าวคือ ในการก่อไฟนั้น เริ่มจากไฟจุดเล็กๆ เช่น ไฟจากก้านไม้ขีด ผู้ก่อไฟก็สามารถทำให้เป็นไฟกองใหญ่ที่สว่างโพลงโชติช่วง และร้อนแรงได้ ผู้จะตั้งตนก็เฉกเช่นเดียวกัน อาจจะใช้ต้นทุนซึ่งมีอยู่ไม่มากประกอบกิจการ จนมีผลกำไร เกิดทรัพย์สินมากมายมหาศาลก็ได้ แต่ก็มิใช่ว่าทุกคนจะทำ ได้ดุจเดียวกัน เพราะผู้ที่จะทำได้จะต้องเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาดและมีวิจารณญาณดีทีเดียว ซึ่งถ้าหากนำเอาประวัติการทำงานของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการตั้งตน ได้ในลักษณะนี้ ก็จะพบว่า การที่เขาสามารถก่อร่างสร้าง ตัวได้สำเร็จถึงขนาดนั้น ก็เพราะมีคุณธรรมหลายประการ อย่างน้อยก็ต้องมีหลักธรรมเพื่อการอยู่ดีกินดีมีหลักฐานมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ คือ การขยันหาทรัพย์ การรู้จักเก็บรักษาและทำให้งอกเงย การรู้จักคบหาเพื่อนหรือผู้ร่วมงานที่ดี และการรู้จักใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม
      นอกจากนี้ ต้องมีคุณธรรมที่สำคัญ นั่นคือ การมีปัญญาเฉลียวฉลาด มีวิจารณญาณที่ดี กล่าวคือ ต้องเป็นคนที่มีความรู้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะคือรู้จักเหตุผล เข้าใจความเกี่ยวเนื่องกันของสิ่งของต่างๆ เช่น ในการค้าขายก็รู้จักหาทำเลที่ดี รู้ว่าความต้องการของลูกค้าอยู่ที่สินค้าอะไร เป็นต้น โดยมีวิจารณญาณคือการพิจารณาจนประจักษ์แน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร รู้จักจังหวะในการดำเนินการ เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงจังหวะ ก็ยับยั้งไว้ก่อน ต่อเมื่อจังหวะดีจึงดำเนินการ เป็นต้น เปรียบเหมือนการก่อไฟให้ลุกโพลงเป็นกองโต ขณะที่ไฟเพิ่งเริ่มติดเพียงเล็กน้อย ถ้าโหมกระพือลมมากเกินไป หรือใส่ไฟฟืนทับถมลงมากเกินไป ไฟอาจดับได้ ต้องค่อยๆ ใส่ฟืนที่ติดไฟง่ายเข้าไปทีละน้อย กระพือลมแต่พอสมควร เมื่อไฟติดดีแล้วจึงค่อยเพิ่มฟืนมากขึ้น ไฟก็จะค่อยติดและขยายกองโตมาก ขึ้นได้ การทำกิจการต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ยังมีทุนน้อยก็ทำกิจการเพียงน้อยๆ ก่อน ต่อเมื่อมีทุนมากขึ้น แล้วจึงขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้นไปตามลำดับ กิจการก็จะประสบความสำเร็จได้ดี
      
      คนมีคุณสมบัติดังกล่าวเมื่อ ทำงานได้เงินมาแล้วย่อมมีอุบาย วิธีในการที่จะรักษาเพิ่มพูนรายได้ของตนให้สูงขึ้นได้โดยดำเนิน ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓) ว่า “ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิต สมควร ย่อมรักษาทรัพย์ที่หามาไว้ได้”
      
      การที่คนเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างสะดวกสบาย จะต้องมีทรัพย์เก็บสำรองไว้ สำหรับใช้จ่ายตามสมควร เพราะหากไม่มีทรัพย์เก็บสำรองไว้แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ก็จะต้องประสบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ผู้ที่จะมีทรัพย์เก็บสำรองไว้ได้จะต้องเป็นผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการ และเลี้ยงชีวิตพอสมควรแก่ฐานะของตน ชีวิตคนเราต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ช่วยหล่อเลี้ยงไว้ อย่างน้อยก็ต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐาน ๔ อย่าง คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคดังกล่าว มาแล้ว การประกอบอาชีพของคนเราก็เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยขั้นพื้นฐานดังกล่าวนั้น ในสังคมมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายของกินของใช้ระหว่างกัน โดยได้มีการนำเอาของมีค่าคือเงินทองมาใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เพราะเงินทองมีลัษณะที่เล็กสะดวกในการนำติด ตัวไปหรือเก็บรักษาไว้ได้นาน โดยที่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง ซึ่งสมมติเรียกกันว่า ทรัพย์ และวิวัฒนาการเป็นธนบัตรที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น การประกอบอาชีพของคนในสมัยต่อๆ มา หรือในยุคปัจจุบัน จึงมุ่งที่จะให้ได้ทรัพย์ธนบัตรนี้ไว้ เมื่อต้องการปัจจัยใดๆ มาเลี้ยงชีวิตจึงใช้ทรัพย์หรือซื้อหาสิ่งนั้นอีกทีหนึ่ง ผู้มีทรัพย์มากย่อมมีความสะดวกในการจัดหาสิ่งที่ต้องการ ส่วนผู้ขาดแคลนทรัพย์ก็จะมีความลำบากเดือดร้อนมาก
      
      ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยตนเองก็ดี ที่เป็นมรดกตกทอดก็ดี ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ย่อมมีสิทธิที่จะจับใช้สอย ได้ตามใจชอบ สำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้สอยให้เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์เท่านั้น
      
      ทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่บันดาลความสุขแก่เจ้าของ คนมีทรัพย์สมบัติมาก ก็มีโอกาสแสวงหาความสุขจากทรัพย์ได้มาก คนมีทรัพย์น้อยก็แสวงหาความสุขจากทรัพย์ได้น้อย การแสวงหาความสุขจากทรัพย์ที่ว่านี้อาจเป็นการแสวงหาในทางที่ผิดก็ได้ หรือเป็นการแสวงหาในทางที่ถูกก็ได้
      
      ที่ว่าเป็นการแสวงหาในทางที่ผิด คือใช้จ่ายทรัพย์ไปในทางอบายมุข ได้แก่ การเป็นนักเลงหญิง การเป็นนักเลง สุรา การเป็นนักเที่ยวกลางคืนหรือนักท่องราตรีมั่วสุมในวงพนัน ชอบคบคนประเภทชักนำในทางเสียทรัพย์ โดยไม่จำเป็น ส่วนในการแสวงหาความสุขจากทรัพย์ ในทางที่ถูกนั้น คือการใช้สอยทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะบริโภคใช้สอยด้วยตนเองแล้ว ควรจะให้ทาน คือการบริจาคทำบุญในพระพุทธศาสนา หรือทำสาธารณกุศล ต่างๆ ตามสมควร ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขใจจากการใช้จ่ายทรัพย์
      
      การขาดแคลนทรัพย์มักมีสาเหตุมาจากความเกียจคร้านทำการงาน ความมัวเมาในอบายมุข ไม่รู้จักจัดการทรัพย์ และใช้จ่ายเกินฐานะ
      
      ดังนั้น ผู้ที่จะหาทรัพย์ให้ได้และสามารถมีทรัพย์เก็บสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น จึงต้องปลูกฝังหลักคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา คือ
      
      (๑) ขยันหาทรัพย์ โดยมีความขยันในหน้าที่การงาน ไม่เกียจคร้าน ไม่ท้อถอย เห็นความสำคัญของการทำงาน เท่ากับชีวิต
      
      (๒) รู้จักเก็บ เข้าใจจัดการ โดยมีสติปัญญาในการจัดการใช้ทรัพย์ว่าควรจะใช้เป็นค่าอุปโภคบริโภคเท่าใด จะทำทุนเท่าใด เก็บไว้สำรองเท่าใด
      
      (๓) ไม่ประมาทมัวเมาลุ่มหลงไปกับสิ่งยั่วยวนต่างๆ เช่น กามารมณ์ สิ่งมึนเมา การเสี่ยงโชคเล่นการพนัน และการคบคนชั่วเป็นมิตร
      
      (๔) เลี้ยงชีวิตพอสมควร คือ ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไปและไม่ฝืดเคืองเกินไป เป็นคนมัธยัสถ์คือใช้จ่ายในขนาดกลางๆ พอเหมาะพอดี
      
      ผู้มีคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ๔ ประการนี้แหละ พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าจะรักษาทรัพย์ที่หามาแล้วไว้ได้อย่างแน่นอน

 ยิงฟันยิ้ม
หน้า: [1] 2 3

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!