ชื่อวิทยาศาสร์ Raphistemma pulchellum (Roxb.) Wall.
ตระกูล ASCLEPIAPACEAE
ชื่อสามัญ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น จะมีขนาดเล็กและมีผิวเกลี้ยง และหากลำต้นหรือเถาได้รับบาดแผล ก็จะมียางสีขาวไหลออกมา
ใบ ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบคล้ายรูปไข่หรือรูปหัวใจ ปลายใบจะแหลมเป็นหางยาว ขอบใบเรียบ
โคนใบเว้า ใบกว้างโดยประมาณ 10-15 เซนติเมตร และยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร เนื้อใน
บางบริเวณด้านบนตรงกลางใบจะมีขนขึ้นเป็นกระจุก ก้านใบเล็กและเรียว มีความยาวโดยประมาณ
8-12 เซนติเมตร
ดอก มีดอกสีขาวขนาดใหญ่ ถ้าดอกบานเต็มที่จะมึความกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตาม
ง่ามใบ ช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกประมาณ 4-10 ดอก และมีก้านช่อดอกยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ก้าน
ดอกจะมีขนาดเล็กมาก ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มีกลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ลักษณะคล้ายรูปไข่
หรือรูปขนาน ตรงปลายจะกลม ขอบกลีบบาง ตรงโคนจะเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว โคนกลีบดอก
จะเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ปลายกลีบดอกจะหนา และสั้นกว่าท่อดอก
ฤดูกาลออกดอก
ข้าวสารดอกใหญ่จะออกดอกในช่วงฤดูหนาวเช่นเดียวกับข้าวสารดอกเล็ก
การปลุก
ข้าวดอกใหญ่มีวิธีการปลูก โดยการนำต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ดมาปลูกลงดิน หากเพราะต้น
กล้าใส่ถุงเพาะชำ ถุงละหนึ่งต้น เมื่อต้นกล้าโตและแข็งแรงพอที่จะย้ายกล้ามาปลูกได้ ก็ให้ใช้มีด
คม ๆ กรีดถุงให้ขาด แล้วนำต้นกล้าพร้อมกับดินที่ติดอยู่ทั้งถุงลงหลุมปลูป กลบดินพอแน่น แล้ว
รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
แสง ข้าวสารดอกใหญ่มีความต้องการแสงแดดปานกลาง ค่อนข้างมาก เช่นเดียวกันกับข้าวสารดอกเล็ก
เนื่องจากทั้งข้าวสารดอกเล็ก และข้าวสารดอกใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้ง
น้ำ ความต้องการน้ำอยู่ในระดับปานกลาง คือช่วงแรกปลูกให้รดน้ำ 2 ครั้ง ต่อวัน และเมื่อต้นแข็งแรง
ดีแล้ว ให้รดวันละ 1 ครั้ง ก็พอ
ดิน ดินที่ปลูกก็ควรเป็นดินร่วนปนทราย ที่อุดมไปด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
ปุ๋ย ให้ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ เช่นปุ๋ยหมักใบไม้ ปุ๋ยคอก เป็นต้น
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด